วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

ความเป็นมาของฆ้องวงใหญ่

ความเป็นมาของฆ้องวงใหญ่



ฆ้องจัดได้ว่าเป็นเครื่องดนตรีที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนานชนิดหนึ่ง ในบรรดาเครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงกันในปัจจุบัน และเป็นเครื่องดนตรีที่มีความสำคัญมาตั้งแต่โบราณ เป็นเครื่องดนตรีหลักของวงดนตรีไทย ทั้งในวงมโหรี และวงปี่พาทย์ โดยฆ้องได้มีหลักฐานการค้นพบ โดยมุ่งไปที่กลองมโหรทึก กลองมโหรทึก ถูกค้นพบครั้งแรกที่บริเวณตอนใต้ของประเทศจีนแถบมณฑลยูนานและมณฑลใกล้เคียง ต่อเนื่องลงมาถึงเวียดนาม กัมพูชา ลาว พม่า มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย (สมชาย รัศมี ,๒๕๔๑ : ๑๒)



สิ่งที่ชี้ให้เห็นว่า กลองมโหระทึกเป็นต้นกำเนิดของฆ้องก็เพราะโลหะที่ใช้ในการสร้างนั้นเอง โลหะที่ใช้ในการสร้างกลองมโหรทึก เป็นโลหะผสมแบบเดียวกับฆ้องที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน นอกจากลักษณะของเนื้อโลหะผสมแล้ว เส้นทางวิวัฒนาการของกลองมโหระทึกยังผ่านการพัฒนาเป็นเครื่องดนตรีในตระกูลเดียวกัน แต่เปลี่ยนแปลงรูปร่างที่มีทิศทางมาใกล้ฆ้องมาขึ้นนั้นคือการค้นพบ “กังสดาร” ซึ่งสร้างด้วยโลหะผสมแบบเดียวกันแต่รูปร่างเป็นแผ่นกลมขนาดใหญ่ มีเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒ เมตร พบที่วัดพระธาตุหริกุญไชย ในจังหวัดลำพูน คาดว่าน่าจะอยู่ราวศตวรรษที่ ๑๓ (อภิชาต ภู่ระหงษ์, ๒๕๔๐: ๑๖)

โดย: เพรางาย (เจ้าบ้าน ) [8 มิ.ย. 53 11:07] ( IP A:113.53.232.133 X: )
Add to Facebook Add to Twitter Add to Multiply Add to Google Add to Blogger Add to Live


ความคิดเห็นที่ 1
อ้างอิง

http://santithaimusic.igetweb.com/index.php?mo=3&art=177116
โดย: เจ้าบ้าน [8 มิ.ย. 53 11:08] ( IP A:113.53.232.133 X: )

ความคิดเห็นที่ 2
ฆ้องวงใหญ่ เป็นเครื่องตีประเภททำทำนองที่ทำด้วยโลหะ หลอมกลึงเป็นลูกๆทรงกลม มีขนาดลดหลั่นกัน 16 ลูก แขวนอยู่บนร้านฆ้อง ซึ่งทำด้วยหวายดัดโค้งเป็นวงกลม ผู้ตีนั่งอยู่ในวงฆ้อง จับไม้ตีข้างละอัน ตีเป็นทำนองเพบรรเลงผสมอยู่ในวงปี่พาทย์เครื่องห้าสมัยสุโขทัยมาจนถึงทุกวันนี้ ๑ มีหน้าที่ดำเนินทำนองหลัก เป็นหลักของวงปี่พาทย์จนถึงปัจจุบัน เดิมเรียก ฆ้องวง ต่อเมื่อเกิดฆ้องวงเล็กในสมัยรัชกาลที่ 3 จึงเรียกฆ้องที่มีอยู่เดิมว่า ฆ้องวงใหญ่ เพราะมีขนาดใหญ่กว่า ฆ้องวงใหญ่มีส่วนประกอบ ดังนี้


1. ร้านฆ้อง

-ร้านฆ้อง ทำด้วยหวายเป็นต้น 4 เส้น ดัดโค้ง เป็นวงกลม ใช้ 2 เส้นดัดเป็นโค้งเป็นวงนอก อีก 2 เส้นโค้งเป็นวงใน ยึดติดกับลูกมะฮวด
-ลูกมะหวด ทำด้วยไม้กลึงให้กลมเป็นลอนขนาบด้วย ลูกแก้ว หัวท้ายบากและปาดโค้งรับกับต้นหวายเป็นระยะตลอดทั้งวง
-โขนฆ้อง ทำด้วยไม้หนา มีลักษณะตอนกลางนูน เป็นสันเรียวแหลมเหมือนใบโพธิ์ ข้างปาดเรียวลง ยึดติดติดกับต้นหวายทั้งสองข้าง ข้างหนึ่งใหญ่ อีกข้างหนึ่งเล็ก
-ไม้ค่ำล่าง เป็นไม้ลักษณะสี่เหลี่ยมทรงแบน ยึด ติดกับหวายคู่ล่างโดยรอบ ระยะ *** งพอสมควร บางวงจะใช้แผ่นโลหะตอกตะปูคลุมอีกทีหนึ่ง
-ไม้ตะคู้ คือไม้ไผ่เล็กๆเจาะฝังเข้าไปในลูก มะหวด เพื่อกั้นสะพานหนู
-สะพานหนู เป็นเส้นลวดสอดโค้งเป็นวงใต้ไม้ตะคู้ เพื่อไว้ผูกหนังลูกฆ้อง ด้านในและด้านนอก
-ไม้ค้ำบน หรือ ไม้ถ่างฆ้อง เป็นไม้แผ่นบางๆปาดหัวท้ายเว้าตามเส้นหวาย เพื่อใช้ถ่างให้วงฆ้อง ให้อยู่ในสภาพเป็นวงสวยงาม ปกติลูกฆ้อง 4 ลูกจะ ใส่ไม้ถ่างฆ้อง 1 อัน ฆ้องวงใหญ่มี 16 ลูก จึงมีไม้ถ่างฆ้องวงหนึ่ง 4 อัน ที่ต้นหวายทั้ง 4 ต้นจะมีหวายผ่าซีก 2 หรือ 3 เส้นประกบโดยรอบ เพื่อรองรับหนังผูกฆ้อง และเพื่อให้สวยงาม จะกลึงเป็นเม็ดติดไว้ที่ปลายต้นหวายทั้งสี่ต้น สำหรับสมัยโบราณจะกลึงเม็ดเป็นขา ติดอยู่ที่ใต้ไม้ถ่างล่างอีกทีหนึ่ง
วงฆ้องบางวงได้ประดิษฐ์ขึ้นให้สวยงาม โดยการประกอบงา แกะลวดลายฝังงา หรือมุขที่โขน บางครั้งที่ลูกมะหวดประกอบงา หรือเป็นงาทั้งอัน หรือแกะลวดลาย ลงรักปิดทองสวยงาม

2.ลูกฆ้อง

ทำด้วยโลหะที่เรียกว่า ทองเหลือง หลอม ตี หรือกลึงเป็นลูกๆทรงกลม ด้านบนกลึงตรงกลางให้นูนเป็นปุ่มเรียกว่า ปุ่มฆ้อง สำหรับตีให้เกิดเสียง ด้าน ข้างกลึงเป็นขอบงุ้มลงเรียกว่า ฉัตร เพื่อให้เสียงดังกังวานยาวขึ้น ที่ฉัตรเจาะรู 4 รูสำหรับร้อยหนังเลียด ซึ่งทำด้วยหนังเส้นเล็ก ร้อยผ่านรูที่ฉัตร ไปผูกยังสะพานหนู วงหนึ่ง มี 16 ลูกลดหลั่นกันตามลำดับ แต่ละลูกจะติดตะกั่วผสมขี้ผึ้งใต้ปุ่มฆ้อง เพื่อให้ได้เสียง สูงต่ำเรียงตามลำดับ 16 เสียง ลูกที่มีเสียงต่ำสุดจะ เรียกว่า ลูกทวน และลูกที่มีเสียงสูงสุดจะเรียกว่า ลูกยอด

3.ไม้ตีฆ้อง

ก้านทำด้วยไม้ไผ่ เหลาให้กลมเล็ก ยาวพอประมาณ ไม้ที่ดีนิยมไม้ที่มี 5 ข้อขึ้นไปจนถึง 9 ข้อ หัวไม้ ทำด้วยหนังช้าง ตัดเป็นวงกลม ทุบปลายบานเป็นขอบ เล็กน้อย เพื่อให้นุ่มสำหรับตีลงที่ปุ่มฆ้องได้เสียงที่นุ่ม ไพเราะ ปัจจุบันหนังช้างหายาก จึงใช้ไม้ฆ้องที่หัวพัน ด้วยผ้า เคียนด้วยด้ายสีต่างๆด้วยวิธีกรรมที่ปราณีตสวยงาม เรียกว่า ไม้นวม เสียงจะนุ่มนวล แต่ไม่คมคายเท่าหนังช้าง เหมาะสำหรับไว้ฝึกซ้อม
โดย: เจ้าบ้าน [8 มิ.ย. 53 11:10] ( IP A:113.53.232.133 X: )

ความคิดเห็นที่ 3
ท่านั่ง

นั่งท่าขัดสมาธิ หรือพับเพียบ อยู่กึ่งกลางในวงฆ้อง ลำตัวตรง


ท่าจับ

ด้วยการหมายมือจับไม้ตีข้างละอัน ให้ก้านไม้ตีพาดอยู่ในกลางร่องอุ้งมือ พร้อมกับใช้นิ้วกลาง นาง ก้อย จับก้านไม้ตีไว้ และใช้นิ้วหัวแม่มือแตะไว้ที่ด้านข้าง ปลายนิ้วชี้กดที่ด้านล่างของก้านไม้ตี โดยให้ปลายนิ้วชี้อยู่ชิดกับหัวไม้ตี ในลักษณะที่จะใช้ควบคุมเสียงของฆ้องใหญ่ และค่ำมือลงเมื่อพร้อมที่จะบรรเลง แขนทั้งสองอยู่ข้างลำตัว งอข้อศอกเป็นมุมฉากพองาม


หลักการตีฆ้องวงใหญ่

-- ต้องตีให้หน้าไม้ตั้งฉากกับลูกฆ้อง
-- ตีตรงกลางปุ่มให้เต็มปื้นไม้ตี
-- ใช้ข้อมือและกล้ามเนื้อแขนเป็นหลัก
-- ยกไม้ตีสูงพอสมควร (ประมาณ 5-6 นิ้วฟุต)
-- ขณะบรรเลงสามารถหมุนไม้ตีไปรอบๆ เพื่อไม้ตีไม่เสียรูปทรงจากหลักการตีดังกล่าว ก่อให้เกิดวิธีและเสียงของฆ้องอันเป็นพื้นฐานดังนี้


หลักการตีฆ้องวงใหญ่

1.ตีมือละลูกเป็นคู่แปด คือการตีด้วยมือซ้าย และมือขวาพร้อมกันเป็นคู่แปด และคู่สี่
2. ตีมือละหลายๆลูก คือการตีมือละหลายๆลูก อาจแบ่งมือซ้ายขวาเท่ากันหรือไม่เท่ากัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ ท่วงทำนองเพลงเป็นหลัก โดยปรกติจะตีลงด้วยมือซ้าย หนึ่งครั้ง มือขวาสองครั้ง ถือเป็นมือเอกลักษณ์ของฆ้องวงใหญ่ อีกแบบหนึ่งจะตีโดยแบ่งมือเท่าๆกัน ในพยางค์ของเสียงที่ต่อเนื่องกัน ทั้งขึ้นและลง
3. ตีสะบัด คือการตีพยางค์มากกว่าเก็บ ซึ่งขึ้นอยู่ในหัวข้อการตีมือละ หลาย ๆ ลูก แต่วิธีสะบัดของฆ้องวงนั้น โดยมากจะเป็นการสะบัดขึ้นลง 3 พยางค์ 3 เสียง ถ้าขึ้นจะใช้ซ้ายหนึ่ง ขวาสอง ถ้าลงจะใช้ขวาหนึ่ง ซ้ายสอง และมือแรกห้ามเสียงเล็กน้อย ดังที่เรียกว่า ซ้ายปิด ขวาเปิด เป็นต้น
4. ตีกวาด คือการตีที่ลากหัวไม้ผ่านปุ่มฆ้องทุกลูก จากซ้ายไปขวา หรือจากขวาไปซ้าย ซึ่งโดยปรกติ จะลากไม้ฆ้องให้หัวไม้กระทบบริเวณด้านข้างของปุ่มลูกฆ้อง ถ้าลากตรงกลางปุ่มจะทำให้สะดุด เสียงไม่เรียบ
5. ตีกรอ คือการตีสองมือสลับกันด้วยพยางค์ถี่ๆและเร็ว ปรกติจะเอามือซ้ายลงก่อน และตีสลับให้สองมือมีอัตราและเสียงที่เท่ากัน
6. ตีไขว้ คือการตีที่มือข้างหนึ่งไขว้ข้ามมืออีกข้างหนึ่ง โดยมือทั้งสองมีลักษณะไขว้กัน อาจเอามือซ้าย ไขว้มือขวา หรืออาจเอามือขวาไขว้มือซ้ายก็ได้ โดยปกติจะใช้ตีในเพลงเดี่ยว ซึ่งจัดเป็นความสามารถของผู้ตี
7. ตีหนึบ หนับ หนอด โหน่ง เป็นการตีที่ประคบมือมือทั้งสอง คือการตีที่ใช้กล้ามเนื้อ กำลัง ตลอดจนน้ำหนักพอดี บางครั้งตีลงแล้วเปิดหัวไม้ทันที บางครั้งปิดหัวไม้เล็กน้อย โดยเฉพาะในเพลงเดี่ยวจะใช้วิธีการแบบนี้มาก


อ้างอิง
http://www.banrakthai.com/index.php?step=viewproduct&catn=11&subn=3&pcode=rakthai024

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น