วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

งู


   งูใน Genus Naja (งูเห่าทั้งหมด) จะมีความสามารถที่เด่นชัด นั่นก็คือการ “แผ่แม่เบี้ย” ซึ่งเป็นการข่มขู่ศัตรูที่มาบุกรุกหรือมาทำร้ายมัน โดยงูเห่าจะยกลำตัวส่วนหน้าขึ้นเหนือจากพื้น และแผ่โครงกระดูกบริเวณลำคอออก ให้ดูตัวใหญ่น่าเกรงขาม และมันยังสามารถส่งเสียงขู่ฟ่อได้ เป็นที่มาของชื่องูเห่านี่เอง
โดยในประเทศไทย มีงูเห่าอยู่3ชนิด (ไม่นับงูจงอาง งูจงอางไม่ใช่งูเห่าครับ) ซึ่งชนิดแรกคือ “งูเห่าไทย” ซึ่งเป็นงูเห่าที่ Classic มากๆสำหรับประเทศไทย แต่อีกสองชนิดเป็น “งูเห่าพ่นพิษ”ครับ

งูเห่าไทย (Naja kaouthia) หรือชื่อสามัญ Monocled Cobra เป็นงูพิษใน Family Elapidae ซึ่งเป็น Family เดียวกับ งูจงอาง และกรีนแมมบ้า ที่โด่งดังและลือชื่อในเรื่องของความอันตราย มิหนำซ้ำงูเห่านี้ยังหากันได้ง่ายๆในประเทศไทยอีกต่างหาก
งูเห่าไทยนั้นนับว่าเป็นงูพิษที่ยาวมากๆ ด้วยความยาวที่สามารถยาวได้ถึง2เมตร ลำตัวเป็นรูปทรงกระบอก เกล็ดเรียบ และลำตัวด้านบนมีสีได้หลากหลาย อาจเป็นดำ น้ำตาล เทา หรือเหลืองก็ได้แล้วแต่ตัว นอกจากนี้ในงูเห่าบางตัวยังปรากฏลายจางๆเป็นเส้นพาดขวางกับลำตัวด้วย โดยส่วนหัวด้านล่างจะมีสีขาว ทำให้ไม่เป็นสีดำสนิท จะดูสว่างๆ
ลักษณะพิเศษของงูเห่าไทย หรือ monocled Cobra นี้คือ ลายที่ด้านหลังของแม่เบี้ยจะปรากฏเป็นรูปวงกลม (monocle แปลว่า แว่นตาข้างเดียว) และ “ด้านหน้า”ของแม่เบี้ย มักจะปรากฏเป็น สีขาวพาดสลับกับสีดำ
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ส่วนมากจะมีลายปรากฏแบบนั้น แต่งูเห่าชนิดนี้เป็นสัตว์ที่มีความหลากหลายมากๆ เหมือนคนที่เกิดมาก็มีผมหยิกผมตรงผมหยักศก ผิวคล้ำผิวขาวผิวเหลือง บลาๆ เพราะฉะนั้นบางครั้งลายทั้งด้านหน้าและด้านหลังของแม่เบี้ยก็สามารถผิดเพี้ยนเปลี่ยนแปลงไปได้

^งูเห่าที่มีโทนสีอ่อนและลายที่แม่เบี้ยหายไปครับ

งูเห่าไทยมีพิษที่อันตรายถึงชีวิตหากไม่ได้รับการรักษา และพิษของมันมีฤทธิ์ทำลายระบบประสาท จนในที่สุดผู้ถูกกัดก็ตายจากอาการระบบหายใจล้มเหลว นอกจากนี้พิษของมันยังทำให้เกิดอาการเนื้อตายในบริเวณที่ถูกกัดด้วย
งูเห่าเป็นสัตว์หวงถิ่น และหากินกลางคืน แต่ก็สามารถพบมันนอนอาบแดดอยู่ในตอนกลางวันได้ บางครั้งก็ใกล้กับถิ่นอาศัยของคน และเมื่อสัตว์หวงถิ่นสองชนิดมาเจอกัน ก็ย่อมเกิดปัญหาตามมาแน่นอน งูเห่านั้นเป็นงูที่ค่อนข้างดุร้าย โดยถ้าหากเป็นการรบกวนเล็กน้อย มันอาจจะเลื้อยออกไปหาที่กำบัง
แต่ถ้ามันสัมผัสได้ถึงอันตรายเมื่อไหร่ มันจะเริ่มต้นการต่อสู้ด้วยการขู่และแผ่แม่เบี้ย และจะเริ่มฉกเพื่อเป็นการป้องกันตัวเอง
โดยงูใน Family Elapidae (งูเห่า งูจงอาง กรีนแมมบ้า ฯลฯ) จะต่างกับ Family Viperidae (หางกระดิ่ง งูแมวเซา เขียวหางไหม้) ตรงที่พวกViperนั้น ส่วนมากเมื่อป้องกันตัวเอง มันจะขดตัวพร้อมฉก และสร้าง “บริเวณต้องห้าม” นั่นคือถ้าเราไม่เข้าไปในบริเวณนั้นมันจะไม่โจมตี แต่ถ้าหากเป็นพวก Elapids เมื่อมันจะป้องกันตัวเอง บางครั้งมันจะเลื้อยเข้าไปฉกใส่ศัตรูเลย โดยไม่ตั้งหลักป้องกันตัวเหมือนพวกไวเปอร์
ส่วนความเชื่อที่ว่า งูเห่าเป็นงูอาฆาต อาจเป็นเพราะไปปนกับความเชื่อว่า "จงอางอาฆาต" ซึ่งเกิดจากการที่งูจงอางเวลากัดมันจะไม่ยอมปล่อย เพราะงูจงอางจะฉีดพิษแทบทั้งหมดที่มันมีในตอนนั้นลงไป จึงใช้เวลานาน ในขณะที่งูเห่าจะฉกแล้วหนีทันที ไม่กัดค้าง

อย่างไรก็ตาม Monocled Cobra เป็นงูเห่าธรรมดา นั่นหมายถึงมันพ่นพิษไม่ได้ และโจมตีจากการกัดเท่านั้น แต่ถ้าหากเป็นงูเห่าพ่นพิษละก็…

งูเห่าพ่นพิษ เป็นงูที่มีความสามารถในการแผ่แม่เบี้ย เช่นเดียวกับงูเห่าธรรมดาที่เพิ่งพูดไปเมื่อกี้ แต่คุณสมบัติพิเศษที่อันตรายของมันคือการ พ่นพิษ ครับ
โดยการจะแยกแยะว่า งูเห่าตัวไหนเป็นงูเห่าธรรมดา ตัวไหนเป็นพ่นพิษ ผมบอกตามตรงครับ แยกยากพอสมควร เพราะอย่างที่ได้บอกไป งูเห่าเป็นสัตว์ที่มีลักษณะหลากหลายในสายพันธุ์เดียว บ้างก็มีลายไม่มีลาย มีแค่ตัวที่ปรากฏลักษณะชัดเจนเท่านั้นแหละครับ ที่สามารถแยกออกจริงๆ เพราะฉะนั้น ผมจะพูดถึงลักษณะที่เด่นจริงๆของมันแล้วกันครับ

งูเห่าพ่นพิษสยาม (Naja siamensis) ลักษณะโดยรวมของมันก็ไม่แตกต่างอะไรมากกับงูเห่าธรรมดา ทำให้คนสับสนมันกับงูเห่าธรรมดาบ่อยๆ แต่ขนาดตัวของมันจะเล็กกว่าครับ นั่นคือยาวได้สูงสุด 160 cm [งูเห่าธรรมดา 2 เมตร(200 cm)] และสีส่วนมากก็เหมือนๆกันนั่นคือ ดำ น้ำตาล หรือเทาๆ แต่ที่แม่เบี้ยของมันลวดลายจะแตกต่างออกไป ในบางตัวจะปรากฏเป็นตัว U , V หรือแม้แต่ H โดยบางครั้งลายเหล่านี้จะปรากฏแค่ลางๆ
ลวดลายตามลำตัวของมันนั้นหลากหลายยิ่งกว่างูเห่าธรรมดาอีก ในบางตัวอาจเป็นสีเดียวไปทั้งตัว และปรากฏลายจางๆ แต่บางตัวเป็นลายขาวดำปนกันเลอะเทอะ ซึ่งถ้าสีขาวเปรอะเยอะกว่าดำอย่างชัดเจน ให้คิดไว้ก่อนว่ามันพ่นพิษได้ครับ
-------------------------------
งูเห่าพ่นพิษสีทอง (Naja sumatrana) ชื่อของมันอาจจะบอกว่ามันสีทอง แต่จริงๆแล้วมันสามารถมีได้ถึงสองสี นั่นคือ เหลือง และ ดำ ครับ แต่เนื่องจากสีเหลืองทองนี้พบมากกว่าในตอนใต้ของไทยมาก มันจึงได้ชื่อนี้มา ส่วนแบบสีดำ จะพบมากกว่าในมาเลซียและสิงคโปร์
เช่นเดียวกันกับงูเห่าพ่นพิษสยาม มันอาจจะหน้าตาคล้ายงูเห่าธรรมดา แต่ขนาดของมันเล็กกว่าด้วยความยาวสูงสุด 160 cm โดยทั้งแบบสีเหลืองและสีดำจะมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันนั่นคือ ลายบนแม่เบี้ยจะไม่มี และลายตามลำตัวส่วนมากจะเรียบๆไปเลย นับว่าเป็นงูที่ขี้เกียจออกแบบลวดลายเอามากๆตัวนึง
^แบบสีดำ
ด้านหน้าของแม่เบี้ยมักจะมีลายแค่นิดเดียวเช่นกัน และในแบบสีดำ แม่เบี้ยจะมีสีดำเขลอะมากกว่าสีขาว (ในงูเห่าธรรมดาแถบสีขาวจะกว้าง ชัด) และส่วนหัวจะทำเข้ม ต่างกับงูเห่าธรรมดาที่หัวจะดูสว่างๆ
ส่วนในแบบสีเหลือง สีที่ว่าเหลืองของมันนั้นจะไม่นวลงามนะครับ แต่จะเป็นเหลืองคล้ำๆ เหมือนเลอะฝุ่นมา แบบในรูป

ความดุร้ายและพิษของงูเห่าพ่นพิษนั้นอันตรายไม่ต่างจากงูเห่าธรรมดา นั่นคือการข่มขู่ด้วยแม่เบี้ยและเสียงขู่ฟ่อ การกัดเพื่อฉีดพิษที่ทำลายระบบประสาท แต่เนื่องจากว่ามันติด skill พิเศษมาด้วย ทำให้สำหรับผม มันอันตรายกว่างูเห่าธรรมดา
การพ่นพิษของงูเห่าพ่นพิษ เป้าหมายของมันคือลูกตาครับ เพราะพิษงูมันไม่ใช่กรด มันไม่ใช่ว่าพ่นมาโดนหนังแล้วจะอ้ากจ้ากแว้กแจ้ก แต่ก็อย่าไปดูถูกมันเชียวนะครับ การพ่นพิษของงูเห่านั้นแม่นยำ และพ่นได้ไกลถึงสองเมตร เพราะฉะนั้นเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่ไม่ควรเข้าไปยุ่งเลยถ้าไม่จำเป็น
เมื่อพิษของงูเห่าเข้าลูกตา ถ้าหากรีบล้างออกทันเวลา ไม่นานอาการเจ็บปวดก็จะหายไปและกลับเป็นปกติครับ แต่ถ้าปากปล่อยทิ้งไว้ มีสิทธิ์บอดถาวรครับ


สุดท้ายนี้ งูเห่าทุกชนิด ผมยอมรับว่าเป็นงูที่น่าเกรงขาม และเป็นงูที่สมควรจะกลัวจริงๆ ทั้งนิสัยที่ดุร้ายและพิษที่ถึงตาย แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น สำหรับผมแล้ว การรับมืองูเห่า ก็ไม่ใช่การไป “ตีล้างเผ่าพันธุ์”ของมันเช่นกัน ซึ่งผมมีสามสาเหตุ (ตีล้างเผ่าพันธุ์ในที่นี้ หมายถึงเจอมันนอนอยู่ก็เข้าไปตีๆ ทั้งๆที่มันยังไม่ได้ทำอะไร)
อย่างแรกเลย มันเลือกเกิดไม่ได้ว่าจะมีพิษหรือไม่มี และมันเองก็หวงถิ่น เช่นเดียวกับที่คนหวงบ้าน การที่งูออกมาขู่ฟ่อๆกลางถนนพยายามจะฉกคน คนส่วนหนึ่งอาจจะมองเป็น “คนคลั่งออกมาเอามีดไล่ฟันชาวบ้าน” แต่ผมก็มองเป็น “คนที่กำลังตื่นตระหนก เนื่องจากมีคนแปลกหน้า คนอันตราย เต็มรั้วบ้านของมันไปหมด” ก็ได้
อย่างที่สอง ลองคิดดูนะครับ การเข้าไปตีงูที่นอนเฉยๆน่ะ มันคือการเพิ่มความเป็นไปได้ที่จะโดนฉกอย่างสูง ยิ่งถ้าสมมติมันเป็นงูเห่าพ่นพิษ ได้ตาบอดกันแน่ๆครับ เพราะเอาไม้ไปตี จะมีสักกี่คนที่ตีได้จากระยะที่ไกลกว่า2เมตร
อย่างที่สามไม่ต้องพล่ามให้มาก ระบบนิเวศ ครับ การนำสัตว์แปลกๆมาเลี้ยงจนมันแพร่พันธุ์นั้นเป็นการทำลายระบบนิเวศ แต่การจะกำจัดสัตว์ท้องถิ่นให้หมดไป ก็เป็นการทำลายระบบนิเวศ เห็นแบบนี้ งูเป็นสัตว์ที่ช่วยลดจำนวนของหนู ซึ่งเป็นทั้งพาหะนำโรคและสัตว์ที่ทำลายการเกษตร

การจะรับมือกับงูเห่าไม่ว่าจะพันธุ์ไหนก็ตาม ให้คิดไว้ก่อนว่ามันพ่นพิษได้ และรักษาระยะให้ห่างกว่า2เมตร และการจับควรจะทำโดยผู้เชียวชาญ เพราะถ้าหากพลาดแม้แต่ครั้งเดียว นั่นหมายถึงชีวิต
ถ้าหากพบงูเห่าโดยบังเอิญ อีกวิธีหนึ่งนั่นคือการยืนนิ่งๆ ในระยะที่ห่างพอสมควร งูเห่าเป็นสัตว์ที่ตาไม่ค่อยดี จะเห็นเฉพาะสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ตรงหน้า เพราะฉะนั้น ถ้าหากเราอยู่นิ่งๆ มันก็อาจจะอารมณ์เย็นลง หุบแม่เบี้ยลง แล้วตัดสินใจเลื้อยหนีไป
แต่จริงๆแล้วสำหรับงูเห่า เมื่อสถานการณ์บังคับให้มีเรื่องกับมัน การจะฆ่าหรือไม่ฆ่า ผมยอมรับว่าสนับสนุนเหตุผลได้ไม่เต็มที่ เพราะงูเห่านั้นอยู่ใกล้มนุษย์และดุร้าย
แต่ถ้าหากมันไม่ได้เลื้อยออกมาขู่ฟ่อใส่เรา ผมว่าอย่าไปทำอะไรมันดีที่สุดครับ เพราะพิษของงูมีไว้ป้องกันตัว จู่ๆมีคนมาชกเรา ถ้าไม่สู้เราก็ตายสิครับ
งูเห่าเองก็เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดนึง ไม่ต่างไปจากคนหรือสัตว์อื่นๆ มันเองก็ต้องการที่อยู่ ซึ่งมนุษย์เองก็แย่งที่อยู่ของสัตว์อื่นมามากพอแล้ว ถ้าไม่จำเป็นที่จะต้องใช้พื้นที่นั้นๆ ก็เลี่ยงไปก่อนก็ได้ครับ หรือถ้าจะให้มันออกไป จับไปปล่อยไกลๆมันก็หาที่อยู่ของมันได้ครับ
เรื่องนี้พูดยากครับ ผมก็มองในมุมมองคนรักงู หลายๆคนก็มองในมุมมองปลอดภัยไว้ก่อน ไม่มีใครตัดสินใครได้ทั้งนั้นว่าผิดหรือถูก เพราะทุกคนก็เลือกที่จะตัดสินให้สิ่งที่ดีต่อตนเองเป็นสิ่งดีทั้งนั้น

สำหรับผม การที่เขียนเกี่ยวกับงูนี้ ผมอยากให้คนเห็นความหลากหลาย ทั้งสวยงามความโหดร้ายและความน่าเกรงขามของธรรมชาติ ไม่ใช่เพื่อให้คนไปทำลาย แต่เพื่อให้รักษา หรืออยู่ร่วมกับมันให้ได้ดีที่สุดเท่านั้นครับ


ที่มา http://tanbabasnake.exteen.com/20120823/8216-genus-naja-8217

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น