อังกะลุง เป็นเครื่องดนตรีประเภท “ ตี ” มีเสียงที่เกิดจากการกระทบของไม้ไผ่ กับรางไม้ ต้นแบบจากประเทศชวา (ประเทศอินโดนิเชีย ) ที่เรียกว่า “อุงคะลุง ”
จากตอนหนึ่ง ในหนังสืออนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ ครูนาม พุ่มอยู่ ได้มีบทความเกี่ยวกับเรื่องราวของอังกะลุงซึ่งรวบรวมและเขียนโดย อาจารย์พูนพิศ อมาตยกุล ว่า“ อังกะลุง ”เข้ามาในประเทศไทยเมื่อราว พ.ศ. 2451โดยท่านครูจางวางศร ศิลปบรรเลง (หลวงประดิษฐ์ไพเราะ )เป็นผู้นำเข้ามา เมื่อครั้งท่านครู ได้โดยเสด็จพระราชดำเนินสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมหลวงพันธุ์วงศ์วรเดช ( อนุชาร่วมพระชนกชนนี กับพระเจ้าอยู่หัว รัชการที่ 5 ) ซึ่งได้เสด็จพระราชดำเนินประพาสประเทศชวากล่าวกันว่า อังกะลุงชวาที่นำเข้ามาครั้งแรกเป็นอังกะลุงชนิดคู่ ( ใช้ไม้ไผ่เพียง 2 กระบอก ) มีขนาดใหญ่มากและมีน้ำหนักมาก เกินกว่าจะเขย่าโดยวิธียกได้ นอกจากจะใช้วิธีการบรรเลงแบบชวา คือมือหนึ่งถือไว้ อีกมือหนึ่งไกวให้เกิดเสียงอังกะลุงที่นำเข้ามาสมัยนั้น มี 5 เสียง ทำด้วยไม้ไผ่ทั้งหมด ทั้งตัวอังกะลุงและรางที่เป็นตัวกลอกไปมาของฐาน ไม่มีเครื่องประกอบตกแต่งใด ๆเช่นหางนกยูง หรือธงชาติอย่างในปัจจุบัน


หลวงประดิษฐ์ไพเราะ ได้นำวงอังกะลุง จากวังบูรพาภิรมย์ ไปแสดงครั้งแรกในงานทอดกฐินหลวง ที่วัดราชาธิวาส ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 6 แต่ไม่ทราบว่าเป็นปีใด
ปัจจุบัน วงอังกะลุง ได้เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปและเป็นที่ชื่นชอบของคนที่ได้ฟังเสียงเพราะเสียงที่เกิดจากการกระทบของกระบอกไม้ไผ่กับรางมีความไพเราะที่แปลกไปจากเครื่องดนตรีชนิดอื่นแม้แต่ชาวต่างประเทศที่ได้เห็น ได้ฟัง ยังแสดงความชื่นชอบจนต้องขอซื้อเครื่องดนตรีชนิดนี้ ไปเป็นที่ระลึกด้วย
วงอังกะลุง จะประกอบไปด้วยชุดอังกะลุงซึ่งมีจำนวนอย่างน้อย 7 คู่ เครื่องประกอบจังหวะเช่น ฉิ่ง,ฉาบเล็ก, กรับ,โหม่ง, กลองแขกและเครื่องตกแต่งเพื่อเพิ่มความสวยงาม เช่นธงชาติ,หางนกยูง เป็นต้น ตามสถานศึกษาต่าง ๆ มักนิยมนำมาฝึกหัดให้กับนักเรียน เนื่องจากเป็นเครื่องดนตรีไทย ที่ให้เสียงไพเราะ ฝึกหัดไม่ยาก ใช้งบประมาณในการจัดตั้งวงไม่สูงมากนัก (ประมาณ 10,000 บาท) ทั้งยังเป็นการสร้างความสามัคคีและความพร้อมเพรียงให้กับหมู่คณะอีกด้วย เพราะวงอังกะลุงปกติ ผู้บรรเลงเพียงคนเดียว ทำไม่ได้ (นอกจากจะใช้แบบ อังกะลุงราว)
http://www.thaigoodview.com/node/48529
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น