วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

ลืมไปก่อน Buddha Bless ft. เกรียน peace.flv


                       โหม่งเป็นเครื่องกำกับการขับบทของนายหนัง โหม่งมี 2 ใบ ร้อยเชือกแขวนไว้ในรางไม้ ห่างกัน ประมาณ 2 นิ้ว เรียกว่า "รางโหม่ง" ใบที่ใช้ตีเป็นเหล็กมีเสียงแหลมเรียกว่า "หน่วยจี้" อีกใบหนึ่งเสียงทุ้ม เรียก ว่า "หน่วยทุ้ม" ในอดีตใช้โหม่งราง โหม่งลูกฟากก็เรียก ทำด้วยเหล็กหนาประมาณ 0.4 เซนติเมตร ยาว 10 นิ้ว กว้าง 4 นิ้ว อัดส่วนกลางให้เป็นปุ่มสำหรับตี ส่วนโหม่งหล่อใช้กันมาประมาณ 60 ปี หล่อด้วยทองสำริดรูป ลักษณะเหมือนฆ้องวง การซื้อโหม่งต้องเลือกซื้อที่เข้ากับเสียงของนายหนัง อาจขูดใต้ปุ่มหรือพอกชัน อุงด้าน ใน ให้มีใยเสียงกลมกลืนกับเสียงของนายหนัง ไม้ตีโหม่งใช้อันเดียว ปลายข้างหนึ่งพันด้วยผ้าหรือสวมยาง ทำให้โหม่งมีเสียงนุ่มนวล และสึกหรอน้อยใช้ได้นาน

                        โหม่ง คือ ฆ้องคู่ เสียงต่างกันที่เสียงแหลม เรียกว่า "เสียงโหม้ง" ที่เสียงทุ้ม เรียกว่า"เสียงหมุ่ง" หรือ บางครั้งอาจจะเรียกว่าลูกเอกและลูก ทุ้มซึ่งมีเสียงแตกต่างกันเป็น คู่แปดแต่ดั้งเดิมแล้วจะใช้คู่ห้า

                          วิธีตีโหม่งในวงปี่พาทย์หรือเครื่องสาย ผู้ตีนั่งขัดสมาธิ ให้โหม่งวางอยู่ตรงหน้า จับไม้ตีตีตรง กลางปุ่มด้วยน้ำหนักพอประมาณเนื่องจากโหม่งชนิดนี้มีเสียงดังกังวานยาวนาน จึงนิยมตีห่างๆ คือสองฉิ่งสอง ฉับต่อการตีโหม่งครั้งหนึ่ง แต่ถ้าเป็นวงกลองยาวหรือวงมังคละ จะนิยมตีลงที่จังหวะหนัก ( ฉับ ) ตลอดโดย ไม่เว้น


กลองทัด
ประวัติ
                        ตัวกลองทำด้วยไม้แก่น เนื้อแน่นแข็งใช้กลึงคว้านข้างในจนเป็นโพรงใช้ กลึงคว้านข้างในจน เป็นโพรงตรงกลางป่องออกนิดหน่อย ขึ้นหน้าทั้ง 2 ข้าง ด้วยหนังวัวหรือหนังควายตรึงด้วยหมุด ซึ่งเรียกว่า "แส้" ทำด้วยไม้ หรืองา หรือกระดูกสัตว์ หรือโลหะ ตรงกลางหุ่นกลองด้านหนึ่งมีห่วงสำหรับแขวน เรียก กันว่า "หูระวิง" เวลาใช้บรรเลงตีเพียงหน้าเดียว หน้าหนึ่งติดข้าวสุกผสมกับขี้เถ้าปิดตรงใจกลาง แล้ววาง กลองทางด้านนั้นคว่ำตะแคงขอบไว้บนหมอนหนุน มีขาหยั่งสอดค้ำตรงหูระวิง ใช้ตีด้วยท่อนไม้ 2 อัน กลองทัด นิยมใช้ 2 ลูก ลูกหนึ่งเสียงสูงเรียกว่า "ตัวผู้" ตีเสียงดัง "ตูม" อีกลูกหนึ่งเสียงต่ำเรียกว่า "ตัวเมีย" ตีเสียงดัง   "ต้อม"
ลักษณะ
                        กลองทัด เป็นเครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบจังหวะที่ขึงด้วยหนังสองหน้า มีรูปทรงกระบอก กลางป่อง ออกเล็กน้อย ตรึงด้วยหมุดที่เรียกว่า "แส้" ซึ่งทำด้วยไม้ งาช้าง กระดูกสัตว์ หรือโลหะ หน้ากลอง ด้านหนึ่ง ติดข้าวตะโพน แล้วตีอีกด้านหนึ่ง ใช้ไม้ตีสองอัน สำรับหนึ่งมีสองลูก ลูกเสียงสูงเรียกว่า "ตัวผู้" ลูกเสียงต่ำ เรียกว่า "ตัวเมีย" ตัวผู้อยู่ทางขวา และตัวเมียอยู่ทางซ้ายของผู้ตี กลองทัดน่าจะเป็นกลองของไทย มาแต่ โบราณ ใช้บรรเลงรวมอยู่ในวงปีพาทย์มาจนถึงปัจจุบัน
วิธีเล่น
1. ในกรณีกลองประเภทที่ต้องใช้ข้าวติดหน้ากลองให้ทำความสะอาดโดยการใช้ผ้าเปียกน้ำพอหมาดๆเช็ด      หน้ากลองให้สะอาด
2. นำกลองที่ทำความสะอาดแล้วใช้ผ้าคุมหรือนำผ้าไปตัดเป็นถุงใส่ เพื่อกันความชื้น
3. ตรวจสอบคุณภาพความตึงของเสียงกลองให้ได้มาตรฐานอยู่เสมอ

การเลี้ยงเต่าญี่ปุ่น

การเลี้ยงเต่าญี่ปุ่น

                                       โดย จอนฟอน จอมป้วนเปี้ยน

ช่วงนี้บ้านเมืองง่อนแง่นโงนเงน ถึงตอนนี้จะเลือกตั้งเสร็จแล้ว แต่บรรยากาศก็ยังมาคุ มาคุ ดูทะแม่งๆอยู่ดี นักการเมืองร้อนรนวิ่งกันขาขวิด เราประชาชนตาดำๆไม่ต้องร้อนรน มานั่งดูเต่าน้ำแสนน่ารักเล่นๆให้เย็นใจดีฝ่า ฮ่าๆ เอิ๊ก ประกอบกับช่วงนี้มีคนตั้งกระทู้ถามกันเยอะแยะมากมายเลยครับ แสดงให้เห็นถึงเต่าที่ความนิยมอันดับหนึ่ง ครองใจผู้เลี้ยงได้อย่างอำตะนิรันดร์กาลจริงๆครับ...

          เต่าญี่ปุ่นครับ 

          เต่าญี่ปุ่นมีชื่อสามัญภาษาฝรั่งว่า Red-eared sliders (Trachemys scripta elegansมีถิ่นกำเนิดไล่ขึ้นไปตั้งแต่ใต้สุดของโอกินาว่าขึ้นไปจนถึง......จว๊าก ชื่อพาเคลิ้ม ความจริงแล้วเต่าญี่ปุ่นไม่ได้มาจากญี่ปุ่นและก็ไม่ได้มีถิ่นกำเนิดที่ญี่ปุ่นนะครับ แต่มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกา ในแหล่งน้ำของรัฐมิสซิสซิปปี้ แล้วก็ไล่ตั้งแต่แถวๆ อิลินอยส์ ไปจนถึงอ่าวเม็กซิโกเลยครับ

         แล้วทามมายมันชื่อเต่าญี่ปุ่น อันนี้เซียนท่านบอกไว้ว่า ก็เพราะว่าถิ่นกำเนิดนั้นอยู่ทวีปอเมริกาและนำเข้าไปเป็นสัตว์เลี้ยงที่ประเทศญี่ปุ่น แล้วคนไทยก็ไปเอานำเข้ามาจากญี่ปุ่นอีกที ก็เลยตั้งชื่อทางการค้าง่ายๆว่าเต่าญี่ปุ่นนั่นเองครับ

        เต่าญี่ปุ่นเป็นเต่าน้ำ(เต่าชายน้ำ)มีเท้าเป็นพังผืดว่ายน้ำได้ดี ตอนเด็กๆกระดองค่อนข้างกลม สีเขียวมีลวดลาย คล้ายลายไม้ ผิวหนังก็เป็นสีเขียวมีลวดลายเช่นกัน บริเวณหางตาทั้งสองข้างมีแถบสีแดงอันเป็นที่มาของชื่อเต่าหูแดงหรือเต่าแก้มแดงนั่นเองครับ พอโตขึ้นสีเขียวสดบนกระดองจะจางลงและกลายเป็นสีน้ำตาลอาจยังมีลายเขียวๆหลงเหลืออยู่บ้าง ขนาดความยาวตัวเมียประมาณ ฟุต ตัวผู้ขนาดเล็กกว่าเล็กน้อย ถึงวัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุ ปีขึ้นไป โตเต็มที่เมื่อมีอายุ ปี อายุขัยโดยเฉลี่ย 30 ปี

         เต่าญี่ปุ่นเป็นเต่าที่กินทั้งพืชและสัตว์เป็นอาหาร ในขณะที่ยังเป็นเด็กจะต้องการเนื้อสัตว์เป็นอาหารมากกว่าพืชในอัตราส่วนเนื้อสัตว์ร้อยละ70 พืชร้อยละ30 แต่เมื่อโตขึ้นเต่าญี่ปุ่นจะกลับเนื้อกลับตัว บริโภคพืชเป็นส่วนใหญ่ ในอัตราส่วน พืชร้อยละ90 เนื้อสัตว์ร้อยละ10 (Wilke,1979)
เต่าญี่ปุ่นที่เราเลี้ยงส่วนมากจะซื้อมาตั้งแต่เต่ายังเล็ก ก็ควรให้อาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ อาทิเช่น กุ้งฝอย เนือปลา หนอนนก หนอนแดง ไส้เดือน ฯลฯ รวมถึงอาหารปลา อาหารเต่าสำเร็จรูปต่างๆด้วยครับ ไม่ควรให้อย่างเดียวชนิดเดียวตลอด ควรให้หลายอย่างสลับสับเปลี่ยนคละเคล้ากันไป พวกพืชก็ให้ไดหลากหลายครับ ผักบุ้ง ผักกาด คะน้า กวางตุ้ง ตำลึง ใบผักตบชวา ฯลฯ
โดยนิสัยเต่าญี่ปุ่นจะกินในน้ำเป็นหลัก (แต่ก็สามารถงับอาหารบนบกได้) ดังนั้นก็ใส่อาหารลงไปในน้ำเลยครับเดี๋ยวเค้าจัดการกันเอง

         เนื่องจากเต่าญี่ปุ่นเป็นเต่าน้ำ (เต่าชายน้ำ) อาศัยอยู่ในน้ำ กินอยู่ขับถ่ายก็กระทำในน้ำ ดังนั้นจึงควรรักษาความสะอาดน้ำในที่เลี้ยงอย่างสม่ำเสมอ หรือถ้าติดระบบกรองน้ำแบบเลี้ยงปลาสวยงามไปเลยก็ดีเลยครับ ภาชนะที่ใช้เลี้ยงพื้นฐานสุดๆก็คงจะเป็นตู้ปลาครับ เลือกขนาดตู้ปลาก็ขอให้ใหญ่ๆหน่อย เพราะเต่าตัวนี้อัตราการเจริญเติบโตค่อนข้างเร็วครับ แต่จะว่าไปตู้ปลาก็ไม่ใช่ภาชนะที่เหมาะสมสำหรับเลี้ยงเต่าญี่ปุ่นนะครับ เต่าญี่ปุ่นไม่ต้องการน้ำที่ลึกมาก เลี้ยงในอ่างหรือบ่อกว้างๆใหญ่ๆดีกว่าครับ เพราะเต่าญี่ปุ่โตเต็มที่เป็นฟุตนะครับ

         เนื่องจากเต่าญี่ปุ่นเป็นสัตว์เลือดเย็น แสงแดดจากดวงอาทิตย์จึงจำเป็นต่อเต่ามากๆๆๆๆๆ สถานที่เลี้ยงก็ควรเป็นที่ๆรับแสงธรรมชาติได้อย่างน้อย 1-2ชั่วโมง โดยมีร่มเงาไว้ให้หลบร้อนด้วย เต่าญี่ปุ่นชอบขึ้นมาอาบแดดบนบกเอามากๆ ดังนั้นจึงควรจัดให้มีตลิ่ง เชิง ชาน ดิน กรวด ทราย หรืออะไรก็ตามที่เป็นบกให้น้องเต่าขึ้นมาอาบแดดได้ แสงแดดจะช่วยเพิ่มอุณหภูมิให้ร่างกาย ช่วยย่อยอาหาร การเจริญเติบโต ช่วยดึงสารอาหารไปใช้ รวมถึงฆ่าเชื้อโรค เชื้อราที่ติดอยู่ตามกระดองและผิวหนังให้หมดไป

         ถ้าไม่สะดวกพาเต่ามาอาบแดด ก็มีหลอดยูวีสำหรับสัตว์เลื้อยคลานต่างๆ ซื้อมาใช้ก็พอถูไถไปได้ แต่ยังไงก็สู้แสงแดดธรรมชาติไม่ได้หรอกครับ ฮ่าๆๆ

         ในขณะยังเด็กเต่าญี่ปุ่นจะยังไม่สามารถแยกเพศได้ชัดเจน จะเริ่มดูออกเมื่อเต่ามีขนาด 3-4 นิ้วขึ้นไป โดยตัวเมียจะตัวใหญ่และโตเร็วกว่าตัวผู้อย่างเห็นได้ชัด ตัวผู้จะหางยาวกว่า เล็บยาวแหลม ท้องกระดองเว้า ตัวเมียเล็บสั้น หางสั้น ท้องกระดองแบนราบ

         เต่าญี่ปุ่นมีวัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุ ปีขึ้นไป เต่าจะเริ่มผสมพันธุ์วางไข่ ช่วง คือ เดือนมีนาคมและมิถุนายน และจะวางไข่ช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม การผสมพันธุ์จะดำเนินการกันในน้ำนะครับ โดยตัวผู้จะว่ายน้ำตามตัวเมีย และเมื่อตัวเมียพร้อม ตัวเมียจะหยุดและทิ้งตัวลงใต้น้ำ ตัวผู้จะตามไปใช้เล็บยาวๆเกาะที่กระดองตัวเมีย ส่วนเว้าของกระดองตัวผู้ ก็จะประกบกับส่วนโค้งของกระดองตัวเมียพอดี จากนั้นตัวผู้ก็จะ... จว๊าก ไม่ต้องเล่ามากก็ได้ตอนนี้..
จำนวนไข่ของเต่าญี่ปุ่นที่มีการบันทึกเอาไว้ก็ประมาณ 4-23 ฟอง โดยจะวางไข่บนบก แม่เต่าจะขุดหลุมวางไข่บนพื้นดิน ใช้เวลาประมาณ 60-75 วันเพื่อฟักเป็นตัว ใครจะเพาะพันธุ์สถานที่ก็ควรมีทั้งน้ำทั้งบกทั้งพื้นดินนะครับ

          เต่าญี่ปุ่นโตมาตัวก็ใหญ่ กินเยอะขี้ก็เยอะ สีก็เปลี่ยนไปไม่สวยน่ารักเหมือนเก่า เหม็นก็เหม็น เลี้ยงไปเลี้ยงมาเมื่อไหร่คิดได้ดังนี้แล้วก็อย่าเอาไปปล่อยตามแหล่งน้ำธรรมชาตินะครับ เต่าญี่ปุ่นจะไปแย่งที่อยู่และแหล่งอาหารของเต่าพื้นเมืองของเรา เต่าญี่ปุ่นกินก็เก่งกินไม่เลือก ขยายพันธุ์ง่าย อัตราการรอดสูงแถมไข่เยอะอีก ผิดกับเต่าไทยของเราไข่ทีน้อยจัง ยังไงก็คิดพิจราณาศึกษาก่อนเลี้ยง วางแผนและเตรียมการจัดการให้ดีๆ เพื่อเต่าแสนรักของเรานะคร๊าบบบ..
ปล.ภาพเต่าบนสุดเจ้าของภาพและเต่าคือคุณซัมเดย์กู้ดแห่งเวปสัตว์เลื้อยคลานแห่งสยาม
ภาพเต่าสองหัวรู้สึกจะเป็นเต่าของร้านเอ็กซ์โซติก สตูดิโอ ของคุณชีตาร์นะครับ เป็นภาพเก่าแล้วครับ

ข้อมูลก็เอามาจากสุดยอดแม็กกาซีนแห่งสยามประเทศ นิตยสารAQUA ครับ

โปงลาง

โปงลาง บางแห่งเรียกว่า หมากกลิ้งกล่อม หมากเตอะเติน เป็นเครื่องดนตรีที่พัฒนามาจาก "เกราะลอ" หรือ ขอลอ คำว่า "โปงลาง" นี้ ใช้เรียกดนตรีชนิดหนึ่ง ที่มีการเล่นแพร่หลายทางภาคอีสานตอนกลางและตอนเหนือบางส่วน โดยเฉพาะจังหวัดกาฬสินธุ์ มีการเล่นแพร่หลายมาก เพราะเป็นที่กำเนิดโปงลาง ความหมายของโปงลางนั้นมาจากคำ ๒ คำ คือ คำว่า "โปง" และ "ลาง"
โปง เป็นสิ่งที่ใช้ตีบอกเหตุ เช่น ตีในยามวิกาลแสดงว่ามีเหตุร้าย ตีตอนเช้าก่อนพระบิณฑบาตให้ญาติโยมเตรียมตัวทำบุญตักบาตร และ ตีเวลาเย็นเพื่อประโยชน์ให้คนหลงป่ากลับมาถูก เพราะเสียงโปงลางจะดังกังวาลไปไกล (สมัยก่อนใช้ตีในวัด) ส่วนคำว่า ลาง นั้น หมายถึง ลางดี ลางร้าย
โปงลางนั้นก่อนที่จะเรียกว่า โปงลาง มีชื่อเรียกว่า "เกราะลอ" ซึ่ง เกราะลอ มีประวัติโดยย่อคือ ท้าวพรหมโคตร ซึ่งเคยอยู่ประเทศลาวมาก่อนเป็นผู้ที่คิดทำเกราะลอขึ้น โดยเลียนแบบ "เกราะ" ที่ใช้ตีตามหมู่บ้านในสมัยนั้น เกราะลอทำด้วยไม้หมากเลื่อม (ไม้เนื้ออ่อน สีขาว มีเสียงกังวาล ) ใช้เถาวัลย์มัดร้อยเรียงกัน ใช้ตีไล่ฝูงนก กา ที่มากินข้าวในไร่ ในนา ต่อมาท้าวพรหมโคตร ได้ย้ายมาอยู่ที่บ้านกลางเหมือน อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ และได้ถ่ายทอดการตีเกราะลอให้แก่นายปาน นายปานได้เปลี่ยนเกราะลอ จากเดิมมี 6 ลูก เป็น 9 ลูก มี 5 เสียง คือ เสียง โด เร มี ซอล และ ลา

เมื่อนายปานเสียชีวิต นายขานน้องนายปานได้รับการถ่ายทอดการตีเกราะลอ และนายขานนี่เองที่เป็นคนถ่ายทอด การตีเกราะลอให้กับศิลปินแห่งชาติผู้พัฒนาโปงลางให้เป็นเครื่องดนตรีที่ใครๆ ก็รู้จัก นายเปลื้อง ฉายรัศมี
เนื่องจากเกราะลอใช้สำหรับตีไล่ ฝูงนก กา ที่มากินข้าวในไร่นา ดังนั้น จึงมีเกราะลออยู่ในทุกโรงนา (อีสานเรียกว่า เถียงนา) เมื่อเสร็จจากภาระกิจในนาแล้ว ชาวนาจะพักผ่อนในโรงนาและใช้เกราะลอเป็นเครื่องตี เพื่อเป็นการพักผ่อนหย่อนใจ โดยเกราะลอนี้จะตีนอกหมู่บ้านเท่านั้น เพราะมีความเชื่อว่า ถ้าตีในหมู่บ้านจะเกิดเหตุการไม่ดี เช่น ฟ้าฝนจะไม่ตกต้องตามฤดูกาล เป็นต้น
การเรียนการตีเกราะลอในสมัยก่อน เป็นการเลียนแบบ คือเป็นการเรียนที่ต้องอาศัยการจำโดยการจำทำนองของแต่ละลาย เกราะลอที่มี 9 ลูกนี้จะเล่นได้ 2 ลายคือ ลายอ่านสือใหญ่ (อ่านหนังสือใหญ่) และลายสุดสะแนน (เช่นเดียวกับลายแคนและลายพิณ ดังนั้นเมื่อนำมาเล่นผสมผสานกันจึงได้อรรถรสยิ่งนัก)
ปี พ.ศ 2490 นายเปลื้อง ได้เรียนวิธีทำเกราะลอ และการตีเกราะลอ จากนายขาน ลายที่ตีคือ ลายภูไทใหญ่ หรืออ่านหนังสือใหญ่ นอกจากนั้น นายเปลื้อง ยังเป็นคนที่นำเกราะลอมาตีในหมู่บ้านเป็นคนแรก ในปีแรกนั้นการตีเกราะลอไม่เพราะหูคนฟังเท่าไรนัก 2 ปีต่อมาการตีเกราะลอของนายเปลื้องจึงดีขึ้น จนชาวบ้านพากันนิยมว่าตีได้ดี
ปี พ.ศ 2500 นายเปลื้อง ได้วิวัฒนาการ การทำเกราะลอ จากแต่ก่อนหน้านี้ที่ทำด้วยไม้หมากเลื่อม มาเป็นไม้หมากหาด ( มะหาด , หาด ) ซึ่งเป็นไม้เนื้อแข็ง เวลาตีแล้วไม่บวมง่าย โดยเฉพาะไม้ที่ตายยืนต้น เสียงจะกังวาล ที่เอาไม้หมากหาดมาทำโปงลางนี้ นายเปลื้องได้รับแนวคิดจากพระที่วัด ที่นำไม้นี้มาทำโปงที่ตีบอกเหตุ หรือตีให้สัญญาณดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
ต่อมานายเปลื้อง ได้คิดทำเกราะลอ เพิ่มลูกจาก 9 ลูกมาเป็น 12 ลูก เมื่อทำเสร็จลองตีดูเห็นว่าเสียงเพราะมาก

ดังนั้นในปี พ.ศ 2502 นายเปลื้องจึงเพิ่มลูกเกราะลอจาก 12 ลูกมาเป็น 13 ลูก และเพิ่มเสียงจาก 5 เสียงเป็น 6 เสียงคือ เสียง โด เร มี ฟา ซอล และลา (ส่วนเสียง ซี นั้น ดนตรีพื้นเมืองของอีสานจะไม่ปรากฏเสียงนี้ จึงไม่เพิ่มเสียงนี้ไว้) และได้คิดลายใหม่ๆ เพิ่มเป็น 5 ลาย คือ ลายอ่านหนังสือใหญ่ ลายอ่านหนังสือน้อย ลายสุดสะแนน ลายสร้อย และได้เปลี่ยนชื่อ "เกราะลอมา" เป็น"โปงลาง" ซึ่งเรียกชื่อดนตรีชนิดนี้ว่า โปงลาง จนกระทั่งถึงปัจจุบัน
ปี พ.ศ 2505 นายเปลื้องซึ่งสนใจและศึกษาโปงลาง หรือ เกราะลอเดิม มาตั้งแต่อายุ 14 ปี ตั้งแต่การเล่นนอกหมู่บ้านและนำมาเล่นในหมู่บ้าน และเคยรับงานแสดงในเทศกาลต่างๆ แต่การเล่นมักจะเป็นการเล่นเดี่ยวเท่านั้น นายเปลื้องจึงได้เกิดแนวความคิดว่า ดนตรีอีสานมีหลายอย่างด้วยกัน หากนำมาบันเลงร่วมกันคงจะมีความไพเราะและเร้าใจมากขึ้น จึงได้รวมเพื่อนๆ ตั้งวงโปงลางขึ้น โดยนำเอา ซอ พิณ แคน กลอง หมากกั๊บแก้บ ไห มาร่วมกันบรรเลง และได้รับความสนใจจากผู้ที่ได้รับชมเป็นอันมาก
ปี พ.ศ 2511 นายเปลื้อง ได้พบกับนายประชุม อินทรตูล ซึ่งเป็นป่าไม้ อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ นายประชุมให้การสนับสนุน และตั้งวงโปงลางขึ้นใหม่ ชื่อว่า วงโปงลางกาฬสินธุ์ นอกจากจะมีเครื่องดนตรีและเครื่องประกอบจังหวะแล้ว ยังมีรำประกอบอีกด้วย รำในขณะนั้นก็มีรำโปงลาง รำซวยมือ รำภูไท เป็นต้น วงโปงลางกาฬสินธุ์ได้รับความนิยมตลอดมา และได้มีการอัดเทปขายให้กับผู้สนใจด้วย
เนื่องจากนายเปลื้อง ได้เปลี่ยนและย้ายไปทำงานหลายแห่ง ซึ่งตลอดระยะเวลาที่นายเปลื้องทำงานในที่ต่างๆ ก็จะเผยแพร่และฝึกสอนโปงลาง และดนตรีพื้นบ้านอีสานแก่ผู้สนใจ และตั้งวงโปงลางให้แก่ที่ที่ทำงานนั้นๆ เสมอ โดยเฉพาะวงโปงลางกาฬสินธุ์นั้น นายเปลื้องได้ควบคุม ดูแล ฝึกสอนและพัฒนาตลอดมา จนสามารถสร้างชื่อเสียงให้อย่างแพร่หลาย จนเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมกันอย่างกว้างขวาง ได้มีโอกาสแสดง ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง ๕ ขอนแก่น แสดงงานเฉลิมพระชนมพรรษา ที่อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นต้น

ความเป็นมาของฆ้องวงใหญ่

ความเป็นมาของฆ้องวงใหญ่



ฆ้องจัดได้ว่าเป็นเครื่องดนตรีที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนานชนิดหนึ่ง ในบรรดาเครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงกันในปัจจุบัน และเป็นเครื่องดนตรีที่มีความสำคัญมาตั้งแต่โบราณ เป็นเครื่องดนตรีหลักของวงดนตรีไทย ทั้งในวงมโหรี และวงปี่พาทย์ โดยฆ้องได้มีหลักฐานการค้นพบ โดยมุ่งไปที่กลองมโหรทึก กลองมโหรทึก ถูกค้นพบครั้งแรกที่บริเวณตอนใต้ของประเทศจีนแถบมณฑลยูนานและมณฑลใกล้เคียง ต่อเนื่องลงมาถึงเวียดนาม กัมพูชา ลาว พม่า มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย (สมชาย รัศมี ,๒๕๔๑ : ๑๒)



สิ่งที่ชี้ให้เห็นว่า กลองมโหระทึกเป็นต้นกำเนิดของฆ้องก็เพราะโลหะที่ใช้ในการสร้างนั้นเอง โลหะที่ใช้ในการสร้างกลองมโหรทึก เป็นโลหะผสมแบบเดียวกับฆ้องที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน นอกจากลักษณะของเนื้อโลหะผสมแล้ว เส้นทางวิวัฒนาการของกลองมโหระทึกยังผ่านการพัฒนาเป็นเครื่องดนตรีในตระกูลเดียวกัน แต่เปลี่ยนแปลงรูปร่างที่มีทิศทางมาใกล้ฆ้องมาขึ้นนั้นคือการค้นพบ “กังสดาร” ซึ่งสร้างด้วยโลหะผสมแบบเดียวกันแต่รูปร่างเป็นแผ่นกลมขนาดใหญ่ มีเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒ เมตร พบที่วัดพระธาตุหริกุญไชย ในจังหวัดลำพูน คาดว่าน่าจะอยู่ราวศตวรรษที่ ๑๓ (อภิชาต ภู่ระหงษ์, ๒๕๔๐: ๑๖)

โดย: เพรางาย (เจ้าบ้าน ) [8 มิ.ย. 53 11:07] ( IP A:113.53.232.133 X: )
Add to Facebook Add to Twitter Add to Multiply Add to Google Add to Blogger Add to Live


ความคิดเห็นที่ 1
อ้างอิง

http://santithaimusic.igetweb.com/index.php?mo=3&art=177116
โดย: เจ้าบ้าน [8 มิ.ย. 53 11:08] ( IP A:113.53.232.133 X: )

ความคิดเห็นที่ 2
ฆ้องวงใหญ่ เป็นเครื่องตีประเภททำทำนองที่ทำด้วยโลหะ หลอมกลึงเป็นลูกๆทรงกลม มีขนาดลดหลั่นกัน 16 ลูก แขวนอยู่บนร้านฆ้อง ซึ่งทำด้วยหวายดัดโค้งเป็นวงกลม ผู้ตีนั่งอยู่ในวงฆ้อง จับไม้ตีข้างละอัน ตีเป็นทำนองเพบรรเลงผสมอยู่ในวงปี่พาทย์เครื่องห้าสมัยสุโขทัยมาจนถึงทุกวันนี้ ๑ มีหน้าที่ดำเนินทำนองหลัก เป็นหลักของวงปี่พาทย์จนถึงปัจจุบัน เดิมเรียก ฆ้องวง ต่อเมื่อเกิดฆ้องวงเล็กในสมัยรัชกาลที่ 3 จึงเรียกฆ้องที่มีอยู่เดิมว่า ฆ้องวงใหญ่ เพราะมีขนาดใหญ่กว่า ฆ้องวงใหญ่มีส่วนประกอบ ดังนี้


1. ร้านฆ้อง

-ร้านฆ้อง ทำด้วยหวายเป็นต้น 4 เส้น ดัดโค้ง เป็นวงกลม ใช้ 2 เส้นดัดเป็นโค้งเป็นวงนอก อีก 2 เส้นโค้งเป็นวงใน ยึดติดกับลูกมะฮวด
-ลูกมะหวด ทำด้วยไม้กลึงให้กลมเป็นลอนขนาบด้วย ลูกแก้ว หัวท้ายบากและปาดโค้งรับกับต้นหวายเป็นระยะตลอดทั้งวง
-โขนฆ้อง ทำด้วยไม้หนา มีลักษณะตอนกลางนูน เป็นสันเรียวแหลมเหมือนใบโพธิ์ ข้างปาดเรียวลง ยึดติดติดกับต้นหวายทั้งสองข้าง ข้างหนึ่งใหญ่ อีกข้างหนึ่งเล็ก
-ไม้ค่ำล่าง เป็นไม้ลักษณะสี่เหลี่ยมทรงแบน ยึด ติดกับหวายคู่ล่างโดยรอบ ระยะ *** งพอสมควร บางวงจะใช้แผ่นโลหะตอกตะปูคลุมอีกทีหนึ่ง
-ไม้ตะคู้ คือไม้ไผ่เล็กๆเจาะฝังเข้าไปในลูก มะหวด เพื่อกั้นสะพานหนู
-สะพานหนู เป็นเส้นลวดสอดโค้งเป็นวงใต้ไม้ตะคู้ เพื่อไว้ผูกหนังลูกฆ้อง ด้านในและด้านนอก
-ไม้ค้ำบน หรือ ไม้ถ่างฆ้อง เป็นไม้แผ่นบางๆปาดหัวท้ายเว้าตามเส้นหวาย เพื่อใช้ถ่างให้วงฆ้อง ให้อยู่ในสภาพเป็นวงสวยงาม ปกติลูกฆ้อง 4 ลูกจะ ใส่ไม้ถ่างฆ้อง 1 อัน ฆ้องวงใหญ่มี 16 ลูก จึงมีไม้ถ่างฆ้องวงหนึ่ง 4 อัน ที่ต้นหวายทั้ง 4 ต้นจะมีหวายผ่าซีก 2 หรือ 3 เส้นประกบโดยรอบ เพื่อรองรับหนังผูกฆ้อง และเพื่อให้สวยงาม จะกลึงเป็นเม็ดติดไว้ที่ปลายต้นหวายทั้งสี่ต้น สำหรับสมัยโบราณจะกลึงเม็ดเป็นขา ติดอยู่ที่ใต้ไม้ถ่างล่างอีกทีหนึ่ง
วงฆ้องบางวงได้ประดิษฐ์ขึ้นให้สวยงาม โดยการประกอบงา แกะลวดลายฝังงา หรือมุขที่โขน บางครั้งที่ลูกมะหวดประกอบงา หรือเป็นงาทั้งอัน หรือแกะลวดลาย ลงรักปิดทองสวยงาม

2.ลูกฆ้อง

ทำด้วยโลหะที่เรียกว่า ทองเหลือง หลอม ตี หรือกลึงเป็นลูกๆทรงกลม ด้านบนกลึงตรงกลางให้นูนเป็นปุ่มเรียกว่า ปุ่มฆ้อง สำหรับตีให้เกิดเสียง ด้าน ข้างกลึงเป็นขอบงุ้มลงเรียกว่า ฉัตร เพื่อให้เสียงดังกังวานยาวขึ้น ที่ฉัตรเจาะรู 4 รูสำหรับร้อยหนังเลียด ซึ่งทำด้วยหนังเส้นเล็ก ร้อยผ่านรูที่ฉัตร ไปผูกยังสะพานหนู วงหนึ่ง มี 16 ลูกลดหลั่นกันตามลำดับ แต่ละลูกจะติดตะกั่วผสมขี้ผึ้งใต้ปุ่มฆ้อง เพื่อให้ได้เสียง สูงต่ำเรียงตามลำดับ 16 เสียง ลูกที่มีเสียงต่ำสุดจะ เรียกว่า ลูกทวน และลูกที่มีเสียงสูงสุดจะเรียกว่า ลูกยอด

3.ไม้ตีฆ้อง

ก้านทำด้วยไม้ไผ่ เหลาให้กลมเล็ก ยาวพอประมาณ ไม้ที่ดีนิยมไม้ที่มี 5 ข้อขึ้นไปจนถึง 9 ข้อ หัวไม้ ทำด้วยหนังช้าง ตัดเป็นวงกลม ทุบปลายบานเป็นขอบ เล็กน้อย เพื่อให้นุ่มสำหรับตีลงที่ปุ่มฆ้องได้เสียงที่นุ่ม ไพเราะ ปัจจุบันหนังช้างหายาก จึงใช้ไม้ฆ้องที่หัวพัน ด้วยผ้า เคียนด้วยด้ายสีต่างๆด้วยวิธีกรรมที่ปราณีตสวยงาม เรียกว่า ไม้นวม เสียงจะนุ่มนวล แต่ไม่คมคายเท่าหนังช้าง เหมาะสำหรับไว้ฝึกซ้อม
โดย: เจ้าบ้าน [8 มิ.ย. 53 11:10] ( IP A:113.53.232.133 X: )

ความคิดเห็นที่ 3
ท่านั่ง

นั่งท่าขัดสมาธิ หรือพับเพียบ อยู่กึ่งกลางในวงฆ้อง ลำตัวตรง


ท่าจับ

ด้วยการหมายมือจับไม้ตีข้างละอัน ให้ก้านไม้ตีพาดอยู่ในกลางร่องอุ้งมือ พร้อมกับใช้นิ้วกลาง นาง ก้อย จับก้านไม้ตีไว้ และใช้นิ้วหัวแม่มือแตะไว้ที่ด้านข้าง ปลายนิ้วชี้กดที่ด้านล่างของก้านไม้ตี โดยให้ปลายนิ้วชี้อยู่ชิดกับหัวไม้ตี ในลักษณะที่จะใช้ควบคุมเสียงของฆ้องใหญ่ และค่ำมือลงเมื่อพร้อมที่จะบรรเลง แขนทั้งสองอยู่ข้างลำตัว งอข้อศอกเป็นมุมฉากพองาม


หลักการตีฆ้องวงใหญ่

-- ต้องตีให้หน้าไม้ตั้งฉากกับลูกฆ้อง
-- ตีตรงกลางปุ่มให้เต็มปื้นไม้ตี
-- ใช้ข้อมือและกล้ามเนื้อแขนเป็นหลัก
-- ยกไม้ตีสูงพอสมควร (ประมาณ 5-6 นิ้วฟุต)
-- ขณะบรรเลงสามารถหมุนไม้ตีไปรอบๆ เพื่อไม้ตีไม่เสียรูปทรงจากหลักการตีดังกล่าว ก่อให้เกิดวิธีและเสียงของฆ้องอันเป็นพื้นฐานดังนี้


หลักการตีฆ้องวงใหญ่

1.ตีมือละลูกเป็นคู่แปด คือการตีด้วยมือซ้าย และมือขวาพร้อมกันเป็นคู่แปด และคู่สี่
2. ตีมือละหลายๆลูก คือการตีมือละหลายๆลูก อาจแบ่งมือซ้ายขวาเท่ากันหรือไม่เท่ากัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ ท่วงทำนองเพลงเป็นหลัก โดยปรกติจะตีลงด้วยมือซ้าย หนึ่งครั้ง มือขวาสองครั้ง ถือเป็นมือเอกลักษณ์ของฆ้องวงใหญ่ อีกแบบหนึ่งจะตีโดยแบ่งมือเท่าๆกัน ในพยางค์ของเสียงที่ต่อเนื่องกัน ทั้งขึ้นและลง
3. ตีสะบัด คือการตีพยางค์มากกว่าเก็บ ซึ่งขึ้นอยู่ในหัวข้อการตีมือละ หลาย ๆ ลูก แต่วิธีสะบัดของฆ้องวงนั้น โดยมากจะเป็นการสะบัดขึ้นลง 3 พยางค์ 3 เสียง ถ้าขึ้นจะใช้ซ้ายหนึ่ง ขวาสอง ถ้าลงจะใช้ขวาหนึ่ง ซ้ายสอง และมือแรกห้ามเสียงเล็กน้อย ดังที่เรียกว่า ซ้ายปิด ขวาเปิด เป็นต้น
4. ตีกวาด คือการตีที่ลากหัวไม้ผ่านปุ่มฆ้องทุกลูก จากซ้ายไปขวา หรือจากขวาไปซ้าย ซึ่งโดยปรกติ จะลากไม้ฆ้องให้หัวไม้กระทบบริเวณด้านข้างของปุ่มลูกฆ้อง ถ้าลากตรงกลางปุ่มจะทำให้สะดุด เสียงไม่เรียบ
5. ตีกรอ คือการตีสองมือสลับกันด้วยพยางค์ถี่ๆและเร็ว ปรกติจะเอามือซ้ายลงก่อน และตีสลับให้สองมือมีอัตราและเสียงที่เท่ากัน
6. ตีไขว้ คือการตีที่มือข้างหนึ่งไขว้ข้ามมืออีกข้างหนึ่ง โดยมือทั้งสองมีลักษณะไขว้กัน อาจเอามือซ้าย ไขว้มือขวา หรืออาจเอามือขวาไขว้มือซ้ายก็ได้ โดยปกติจะใช้ตีในเพลงเดี่ยว ซึ่งจัดเป็นความสามารถของผู้ตี
7. ตีหนึบ หนับ หนอด โหน่ง เป็นการตีที่ประคบมือมือทั้งสอง คือการตีที่ใช้กล้ามเนื้อ กำลัง ตลอดจนน้ำหนักพอดี บางครั้งตีลงแล้วเปิดหัวไม้ทันที บางครั้งปิดหัวไม้เล็กน้อย โดยเฉพาะในเพลงเดี่ยวจะใช้วิธีการแบบนี้มาก


อ้างอิง
http://www.banrakthai.com/index.php?step=viewproduct&catn=11&subn=3&pcode=rakthai024

ตะโพน


ประวัติ
ตะโพน เป็นเครื่องดนตรีที่ขึงด้วยหนัง ตัวตะโพนทำด้วยไม้สักหรือไม้ขนุน เรียกว่า “หุ่น” ขุดแต่งให้เป็นโพรงภายใน ขึ้นหนัง 2 หน้า ดึงด้วยสายหนังโยงเร่งเสียงเรียกว่า “หนังเรียด” หน้าใหญ่มีความ กว้างประมาณ 25 ซม เรียกว่าหน้า “เท่ง” ติดหน้าด้วยข้าวสุกบดผสมกับขี้เถ้าเพื่อถ่วงเสียง อีกหน้าหนึ่งเล็กกว่า มีขนาดประมาณ 22 ซม เรียกว่า “หน้ามัด” ตัวกลองยาวประมาณ 48 ซม รอบๆขอบหนังที่ขึ้นหน้า ถักด้วยหนัง ที่ตีเกลียวเป็นเส้นเล็กๆ เรียกว่า “ไส้ละมาน” แล้วจึงเอาหนังเรียดร้อยในช่วงของไส้ละมานทั้งสองข้าง โยงเรียง ไปโดยรอบจนมองไม่เห็นไม้หุ่น มีหนังพันตรงกลางเรียกว่า “รัดอก” ข้างบนรัดอกทำเป็นหูหิ้วและมีเท้ารองให้ ตัวตะโพนวางนอนอยู่บนเท้า ใช้ฝ่ามือซ้ายขวาตีได้ทั้งสองหน้า ใช้สำหรับบรรเลงผสมอยู่ในวงปี่พาทย์ ทำหน้า ที่กำกับจังหวะหน้าทับต่างๆ
ลักษณะ
ตะโพน เป็นเครื่องดนตรีประเภทกลอง ตัวตะโพนเรียกว่า "หุ่น" ทำด้วยไม้เนื้อแข็ง ขุดแต่ง ให้เป็น โพรงภายใน ขึ้นหนังสองหน้า ตรงกลางป่องและสอบไปทางหน้าทั้งสอง หน้าหนึ่งใหญ่เรียกว่า "หน้า เทิ่ง" หรือ " หน้าเท่ง" ปกติอยู่ด้านขวามือ อีกหน้าหนึ่งเล็ก เรียกว่า "หน้ามัด" ใช้สายหนังเรียกว่า "หนังเรียด" โยงเร่งเสียง ระหว่าง หน้าทั้งสอง ตรงรอบ ขอบหนังขึ้นหน้าทั้งสองข้าง ถักด้วยหนังตีเกลียวเป็นเส้นเล็ก ๆ เรียกว่า "ไส้ละมาน" สำหรับใช้ร้อยหนังเรียด โยงไปโดยรอบจนหุ้มไม้หุ่นไว้หมด ตอนกลางหุ่น ใช้หนังเรียดพัน โดยรอบเรียกว่า "รัดอก" หัวตะโพนวางนอนอยู่บนเท้าที่ทำด้วยไม้ ใช้ฝ่ามือซ้าย-ขวา ตี ทั้งสองหน้า ตะโพน ใช้บรรเลงผสม อยู่ในวงปีพาทย์ ทำหน้าที่กำกับจังหวะหน้าทับต่าง
วิธีการเล่น
1. เสียงเท่ง (หรือเทิ่ง) ใช้มือขวาที่นิ้วมือทั้งสี่เรียงชิดติดกัน ตีลงบนหน้ารุ่ยด้วยกำลังพอประมาณแล้วเปิดมือ ออกทันที เพื่อให้เสียงกังวาน
2. เสียงเทิด ใช้มือขวาที่นิ้วมือทั้งสี่เรียงชิดติดกันตีลงบนหน้ารุ่ยด้วยกำลังพอประมาณ แล้วห้ามเสียงโดยยังคง ยั้งมือปิดแนบไว้กับหนังหน้าตะโพน
3. เสียงถะ ใช้มือขวาที่นิ้วมือทั้งสี่เรียงชิดติดกัน ตีลงบนหนังหน้ารุ่ย พร้อมทั้งกดมือห้ามเสียงมิให้กังวาน
4. เสียงป๊ะ ใช้มือขวา (ทั้งฝ่ามือ) ที่นิ้วมือแยกออกจากกันตีลงบนหนังหน้ารุ่ยที่บริเวณชิดใต้ข้าวสุกด้วยกำลัง แรง แล้วสะบัดปลายนิ้วห้ามกำชับมิให้เสียงกังวาน
5. เสียงติง ใช้มือซ้ายที่นิ้วมือทั้งสี่เรียงชิดติดกัน ตีลงบนหนังหน้ามัด ด้วยกำลังพอประมาณตีแล้วเปิดมือออก ทันที เพื่อให้เสียงดังกังวาน
6. เสียงตืด ใช้มือซ้ายที่นิ้วมือทั้งสี่เรียงชิดติดกัน ตีลงบนหนังหน้ามัดด้วยกำลังพอประมาณแต่ห้ามเสียงโดยมิ ให้กังวานมาก ทั้งนี้ด้วยการใช้ปลายนิ้วทั้งสี่แนบหน้าหนังไว้เล็กน้อย
7. เสียงตุ๊บ ใช้มือซ้ายที่กระชับนิ้วมือทั้งสี่ที่เรียงชิดติดกัน ตีลงบนหน้ามัดแล้วห้ามเสียงทันทีโดยกดนิ้วมือทั้ง สี่ไว้กับหน้าหนัง
8. เสียงพรึง ใช้มือทั้งสองตีลงบนหน้าหนังทั้งสองด้านพร้อมกัน แล้วเปิดมือทันทีทั้งนี้ต้องให้เสียงทั้งสอง หน้าดังกลมกลืนกัน
9. เสียงพริง ใช้มือทั้งสองตีลงบนหน้าหนังพร้อมกัน เหมือนกับการตีเสียงพรึงแต่เปิดมือซ้ายและใช้มือขวา ประคองเสียงหน้ารุ่ยไว้ เพื่อให้เสียงจากมือซ้ายตีหน้ามัดดังกว่า
10. เสียงเพริ่ง ใช้มือทั้งสองตีลงบนหน้าหนัง พร้อมกันด้วยกำลังแรง(โดยเฉพาะมือขวาที่หน้ารุ่ย ) แล้วเปิด มือออกทันทีเพื่อให้เสียงดังกังวาน
11. เสียงเพริด ใช้มือทั้งสองตีลงบนหน้าหนังกลองพร้อมกันด้วยกำลังแรง และห้ามเสียงในทันทีโดยแนบมือ ชิดไว้กับหน้าหนัง
12. เสียงพรืด ใช้มือทั้งสองตีลงบนหนังหน้ากลอง พร้อมกันด้วยกำลังแรงพอประมาณ โดยยั้งมือขวาที่ตีหน้า รุ่ยให้เบากว่า แล้วห้ามเสียงโดยมิให้กังวานมาก

ที่มา 
http://www.isaansmile.com/Thai_musical/Project4.21.html

ประวัติ
จากส่วนประกอบที่มีลูกเปิงมาง 7 ใบและคอกใส่ลูกเปิงมาง 1 คอก จึงเรียกเครื่อง ดนตรีชนิด นี้ว่า เปิงมางคอก แต่เดิมเป็นเครื่องดนตรีของชาวมอญ เล่นในวงปี่พาทย์มอญ ภายหลังชาวไทยนิยม นำมา บรรเลง โดยมีการรับอิทธิพลนี้มาตั้งแต่สมัยอยุธยา
ลักษณะ
เปิงมางคอก เป็นเครื่องดนตรีมอญชิ้นหนึ่ง มีลักษณะเป็นกลองที่ขนาดแตกต่างกัน 7 ลูก ผูก เป็นราวอยู่ในชุดเดียวกัน ลูกเปิงมางมี 7 ขนาดตั้งแต่ใหญ่ไปหาเล็ก ขึงด้วยหนัง 2 หน้า ขึ้นหน้าด้วยหนังเรียด โยงสายเร่งหนังหน้ากลองเป็นแนวยาวตลอด หุ่นกลองเวลาบรรเลงต้องติดข้าวสุก บดผสมขี้เถ้าตรงกลาง ก่อนลูกเปิงมางแต่ละใบจะมีห่วงไว้แขวน คอกเปิงมางทำเป็นรั้ว 3 ชิ้นติดต่อกัน โดยใช้ตะขอ หรือ สลัก มีตะขอแขวนลูกเปิงเป็นระยะ รั้วเป็นรูปโค้งเกือบรอบวงกลม มีทางให้คนเข้าไปบรรเลงตรงกลางคอก
วิธเล่น
1. ตีทีละลูก คือใช้มือทั้งสองตีลงบนหน้าเปิงแต่ละลูก โดยใช้มือซ้ายตีทางด้านเสียงต่ำ
และมือขวาตีทางด้านเสียงสูงตีแล้วเปิดมือเพื่อให้เสียงดังกังวาน
2. ตีรัว คือการตีด้วยมือทั้งสองลงที่ลูกเปิงด้วยความเร็ว เรียงจากสูงไปหาต่ำ และ จากต่ำไปหาสูง
3. ตีเสียงป๊ะ คือการตีด้วยมือ (ส่วนมากเป็นมือขวา) ลงที่เปิงมางลูกใดลูกหนึ่งด้วย
กำลังแรง ตีแล้วห้ามเสียงโดยกดแนบฝ่ามือชิดติดกับหน้าหนัง 

ที่มา
http://www.isaansmile.com/Thai_musical/Project4.23.html

วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์


วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์
คือวงปี่พาทย์ผสมชนิดหนึ่ง มีต้นเค้าสืบเนื่องมาจาก การแสดงละครดึกดำบรรพ์ซึ่ง เจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ (ม.ร.ว.หลาน กุญชร) และ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ร่วมกันปรับปรุงขึ้นโดย อาศัยแนวอุปรากร (Opera) ของตะวันตกเข้าประกอบ
ละครนี้ได้ชื่อตามโรงละครซึ่งเจ้า พระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ตั้งชื่อว่า โรงละครดึกดำบรรพ์ ละครก็เรียกว่า ละครดึกดำบรรพ์ ด้วย วงปี่พาทย์ที่
ใช้ประกอบการแสดงละครนี้จึงมีชื่อว่า "ปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์" ประกอบ ไปด้วยเครื่องดนตรีที่มีเสียงทุ้มนุ่มนวลประสมเข้าด้วยกันให้เหมาะสมกับ
การแสดงละคร ดึกดำบรรพ์ดังนี้

- ระนาดเอก (ใช้ไม้นวม) 1 ราง
- ตะโพน 1 ใบ
- ระนาดทุ้ม 1 ราง
- กลองตะโพน 1 คู่
- ระนาดทุ้มเหล็ก 1 ราง
- ฉิ่ง 1 คู่
- ฆ้องวงใหญ่ 1 วง
- ซออู้ 1 คัน
- ฆ้องหุ่ย 7 ใบ
- ขลุ่ยอู้ 1 เลา
- ขลุ่ยเพียงออ 1 เลา
วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์นี้นอกจากจะมีการประสมวงในรูปแบบใหม่ที่แตกต่างไป จากลักษณะของวงปี่พาทย์ทั่วไปแล้วยังได้เปลี่ยนแปลง
ตำแหน่งของการวางเครื่องดนตรี อีกด้วยกล่าวคือ ตั้งระนาดเอกไว้ตรงกลางวง ระนาดทุ้มอยู่ขวา ระนาดทุ้มเหล็ก อยู่ซ้าย ฆ้องวงใหญ่อยู่หลัง
ระนาดเอก
วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์
วงปี่พาทย์ไม้นวม
คือวงปี่พาทย์ที่ระนาดเอก ใช้ไม้นวมตีแทนไม้แข็ง เวลาบรรเลงจะได้ยินเสียง นุ่มนวลและ เพิ่มซออู้ 1 คัน รวมทั้งใช้ ขลุ่ยเพียงออ
บรรเลงแทนปี่ บางโอกาสอาจจะใช้ กลองแขก
1 คู่ ตีเป็นเครื่องกำกับจังหวะ
ซออู้
วงปี่พาทย์เสภา
เกิดขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย โดยนำมาบรรเลงร่วมกับ การเล่นเสภา ใช้กลองสองหน้าทำจังหวะหน้าทับ แทน
ตะโพนและกลองทัด

ที่มา http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/sakaew/sornchai_p/ranad/sec03p03.html

 อังกะลุง เป็นเครื่องดนตรีประเภท “ ตี ” มีเสียงที่เกิดจากการกระทบของไม้ไผ่ กับรางไม้ ต้นแบบจากประเทศชวา (ประเทศอินโดนิเชีย ) ที่เรียกว่า “อุงคะลุง ”
จากตอนหนึ่ง ในหนังสืออนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ ครูนาม พุ่มอยู่ ได้มีบทความเกี่ยวกับเรื่องราวของอังกะลุงซึ่งรวบรวมและเขียนโดย อาจารย์พูนพิศ อมาตยกุล ว่า“ อังกะลุง ”เข้ามาในประเทศไทยเมื่อราว พ.ศ. 2451โดยท่านครูจางวางศร ศิลปบรรเลง (หลวงประดิษฐ์ไพเราะ )เป็นผู้นำเข้ามา เมื่อครั้งท่านครู ได้โดยเสด็จพระราชดำเนินสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมหลวงพันธุ์วงศ์วรเดช ( อนุชาร่วมพระชนกชนนี กับพระเจ้าอยู่หัว รัชการที่ 5 ) ซึ่งได้เสด็จพระราชดำเนินประพาสประเทศชวากล่าวกันว่า อังกะลุงชวาที่นำเข้ามาครั้งแรกเป็นอังกะลุงชนิดคู่ ( ใช้ไม้ไผ่เพียง 2 กระบอก ) มีขนาดใหญ่มากและมีน้ำหนักมาก เกินกว่าจะเขย่าโดยวิธียกได้ นอกจากจะใช้วิธีการบรรเลงแบบชวา คือมือหนึ่งถือไว้ อีกมือหนึ่งไกวให้เกิดเสียงอังกะลุงที่นำเข้ามาสมัยนั้น มี 5 เสียง ทำด้วยไม้ไผ่ทั้งหมด ทั้งตัวอังกะลุงและรางที่เป็นตัวกลอกไปมาของฐาน ไม่มีเครื่องประกอบตกแต่งใด ๆเช่นหางนกยูง หรือธงชาติอย่างในปัจจุบัน

ในสมัยต่อมาจึงมีการพัฒนาอังกะลุง โดยขยายจำนวนไม้ไผ่เป็น 3 กระบอก ลดขนาดให้เล็กและเบาลงเพิ่มเสียงจนครบ 7 เสียง ในสมัยรัชการที่ 6 เชื่อกันว่า มีการพัฒนาการบรรเลง จากการไกว เป็นการเขย่าแทน นับว่า เป็นต้นแบบของการบรรเลงอังกะลุงในปัจจุบัน


หลวงประดิษฐ์ไพเราะ ได้นำวงอังกะลุง จากวังบูรพาภิรมย์ ไปแสดงครั้งแรกในงานทอดกฐินหลวง ที่วัดราชาธิวาส ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 6 แต่ไม่ทราบว่าเป็นปีใด
ปัจจุบัน วงอังกะลุง ได้เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปและเป็นที่ชื่นชอบของคนที่ได้ฟังเสียงเพราะเสียงที่เกิดจากการกระทบของกระบอกไม้ไผ่กับรางมีความไพเราะที่แปลกไปจากเครื่องดนตรีชนิดอื่นแม้แต่ชาวต่างประเทศที่ได้เห็น ได้ฟัง ยังแสดงความชื่นชอบจนต้องขอซื้อเครื่องดนตรีชนิดนี้ ไปเป็นที่ระลึกด้วย
วงอังกะลุง จะประกอบไปด้วยชุดอังกะลุงซึ่งมีจำนวนอย่างน้อย 7 คู่ เครื่องประกอบจังหวะเช่น ฉิ่ง,ฉาบเล็ก, กรับ,โหม่ง, กลองแขกและเครื่องตกแต่งเพื่อเพิ่มความสวยงาม เช่นธงชาติ,หางนกยูง เป็นต้น ตามสถานศึกษาต่าง ๆ มักนิยมนำมาฝึกหัดให้กับนักเรียน เนื่องจากเป็นเครื่องดนตรีไทย ที่ให้เสียงไพเราะ ฝึกหัดไม่ยาก ใช้งบประมาณในการจัดตั้งวงไม่สูงมากนัก (ประมาณ 10,000 บาท) ทั้งยังเป็นการสร้างความสามัคคีและความพร้อมเพรียงให้กับหมู่คณะอีกด้วย เพราะวงอังกะลุงปกติ ผู้บรรเลงเพียงคนเดียว ทำไม่ได้ (นอกจากจะใช้แบบ อังกะลุงราว)


  http://www.thaigoodview.com/node/48529

ปลากัด

การเลี้ยงปลากัดของคนไทย

การกัดปลานับเป็นเกมกีฬาที่นิยมกันในหมู่คนไทยมาเป็นเวลานาน อันที่จริงแล้วปลาที่ใช้ในเกมกีฬาการกัดปลาของชาวไทยนั้น นอกจากปลากัดแล้ว ยังมีปลาอีก ๒ ชนิดที่นำมากัดแข่งขันกัน คือ ปลาหัวตะกั่ว และปลาเข็ม แต่ไม่แพร่หลายและเป็นที่นิยมเท่าปลากัด ทั้งนี้เนื่องจากปลากัดนอกจากจะมีลีลาการต่อสู้ที่เร้าใจและอดทนแล้วยังเป็นปลาที่สวยงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเวลาที่พองตัวเพื่อต่อสู้ ในระยะแรกๆ ปลากัดที่แข่งขันเป็นปลาที่จับมาจากแหล่งน้ำธรรมชาติ ต่อมาจึงได้เริ่มมีการนำปลากัดมาเลี้ยงเพื่อใช้ในการกัดแข่งขัน และเริ่มมีการผสมพันธุ์เพาะเลี้ยงปลากัด เพื่อให้ได้ปลาที่อดทน กัดเก่ง สีสวยงาม ซึ่งได้เป็นที่นิยมกันอย่างกว้างขวาง หลังจากนั้นก็มีการผสมพันธุ์ปลากัดให้เป็นปลาสวยงาม และเป็นปลาสวยงามชนิดแรกที่คนไทยนิยมเลี้ยง การเพาะเลี้ยงปลากัดจึงแบ่งออกเป็น ๒ กลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มหนึ่งเป็นการเพาะเลี้ยงปลากัดเพื่อเอาไว้กัดแข่งขันเป็นการกีฬา หรือการพนัน และอีกกลุ่มหนึ่งเป็นการเพาะเลี้ยงปลากัดเพื่อเป็นปลาสวยงาม

ในการเพาะเลี้ยงปลากัดเพื่อเอาไว้กัดแข่งขัน จะเป็นการพัฒนาสายพันธุ์ของปลากัดครีบสั้น หรือปลาลูกหม้อ เป็นหลัก เพื่อให้ได้ปลาที่กัดเก่ง อดทน และมีขนาดใหญ่ ในระยะหลังๆ ได้มีการนำปลากัดพื้นเมืองในภาคใต้มาผสมบ้าง เพื่อสร้างลูกผสมที่กัดเก่ง และมีการใช้กลวิธีการหมักปลาด้วยสมุนไพร ใบไม้ ว่าน ดินจอมปลวก และอื่นๆ เพื่อช่วยเคลือบเกล็ดปลา ซึ่งเชื่อกันว่าจะทำให้เกล็ดแข็งกัดเข้าได้ยาก ควบคู่ไปกับการคัดเลือกพันธุ์

ส่วนการเพาะเลี้ยงปลากัดเพื่อเป็นปลาสวยงาม นอกจากจะพัฒนาให้ได้สีที่สวยงาม และรูปแบบใหม่ๆ แล้ว ก็ได้มีการพัฒนาสร้างสายพันธุ์ปลากัดครีบยาว ที่เรียกกันทั่วไปว่า ปลากัดจีน ซึ่งมีครีบยาวใหญ่สวยงาม ในระยะหลังนี้ได้มีการพัฒนารูปทรงของครีบแบบต่างๆ และมีการพัฒนาปลากัดครีบสั้นให้เป็นปลาสวยงาม โดยพัฒนาสีสันให้สวยขึ้น และพัฒนาปลาลูกหม้อให้มีสีใหม่ๆ จนในที่สุดก็มีการผสมระหว่างปลากัดครีบสั้นกับปลากัดครีบยาว เพื่อสร้างลักษณะที่สวยงาม

เมื่อก่อนนั้น นักเพาะพันธุ์ปลากัดในประเทศไทยสนใจเฉพาะการพัฒนาสายพันธุ์ปลากัดลูกหม้อให้กัดเก่งเพื่อการกัดแข่งขันเป็นหลัก ปลากัดครีบยาวหรือปลากัดจีนจึงขาดการปรับปรุงพันธุ์โดยสิ้นเชิง โดยผู้เพาะพันธุ์มุ่งจะผลิตให้ได้จำนวนมากๆ เพื่อส่งขายโดยไม่คำนึงถึงคุณภาพ จนในช่วงหนึ่งปลากัดครีบยาวจากประเทศไทยถูกจัดอยู่ในระดับคุณภาพค่อนข้างต่ำ ในพ.ศ. ๒๕๓๘ คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จึงได้เริ่มดำเนินการเพื่อพัฒนาฟื้นฟูสายพันธุ์ปลากัดในเมืองไทย โดยได้เริ่มจัดสัมมนาให้ความรู้เกี่ยวกับการปรับปรุงสายพันธุ์และมาตรฐานปลากัดในระดับสากล และได้จัดประกวดปลากัดขึ้นครั้งแรกในงานวันเกษตรแห่งชาติ ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จากนั้นมาก็มีการจัดประกวดต่อเนื่องกันมาทุกปี โดยชมรมและองค์กรต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ส่งผลให้เกิดการพัฒนาสายพันธุ์ ทั้งปลากัดลูกหม้อและปลากัดจีน เพื่อเป็นปลาสวยงามกันอย่างเต็มที่ ทำให้ได้ปลากัดลูกหม้อที่มีสีสันสวยงาม ทั้งสีเดียว สีผสม และลวดลายต่างๆ จนในปัจจุบันรูปแบบสีสันของปลากัดลูกหม้อได้พัฒนาไปอย่างมากมายในทุกโทนสี และกลายเป็นปลาสวยงามอีกประเภทหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมเลี้ยงกันอย่างแพร่หลาย ประชาชนจำนวนมากหันมาประกอบอาชีพเพาะเลี้ยงปลากัด ทั้งปลากัดสำหรับกัดแข่งขันและปลากัดสวยงาม จนทำให้ปลากัดมีความสวยงาม กลายเป็นสินค้าส่งออกอย่างหนึ่งของประเทศไทย ปัจจุบันแหล่งเพาะเลี้ยงปลากัดที่สำคัญของประเทศไทยอยู่ที่จังหวัดนครปฐม กรุงเทพฯ ราชบุรี เพชรบุรี และนครศรีธรรมราช





ที่มา http://guru.sanook.com/encyclopedia/%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2/

สรรพคุณ สะระแหน่




สะระแหน่ นั้นมีฤทธิ์เย็นและมีรสเผ็ดน้ำมันของมันจะช่วยขจัดลมร้อน และยังสามารถใช้เป็นยาดับร้อน ถอนพิษไข้ ขับลม ขับเหงื่อ รักษาอาการหวัดลมร้อน ใช้ผสมยาหรือยาอมเพื่อให้เย็นชุ่มคอได้ดี

1. รักษาอาการปวดศรีษะ ปวดฟัน เจ็บคอ เจ็บปาก เจ็บลิ้น โดยดื่มน้ำต้มใบสะระแหน่ 5 กรัม กับน้ำ 1 ถ้วย ผสมเกลือเล็กน้อย วันละ 2 ครั้ง

2. รักษาอาการบิดท้องร่วง อุจจาระเป็นเลือด
โดยนำใบสะระแหน่ต้มดื่มแต่น้ำ

3. แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย โดยตำใบสะระแหน่ให้ละเอียดพอกบริเวณที่โดนกัด

4. ช่วยห้ามเลือดกำเดาได้ โดยใช้สำลีชุบน้ำที่คั้นจากใบสะระแหน่หยอดที่รูจมูก

5. รักษาอาการปวดหู โดยนำน้ำคั้นจากใบสะระแหน่หยอดหูจะช่วยบรรเทาอาการปวดได้ดี

6. รักษาอาการหน้ามือตาลาย โดยรับประทานน้ำต้มใบสะระแหน่และขิงสด


สะระแหน่


วิธีใช้ประกอบอาหาร
ใบสะระแหน่ใช้ลดกลิ่นคาวของอาหารจำพวกพร่า ยำ และลาบ ใช้แต่งกลิ่นเครื่องดื่มและเหล้า

ข้อสังเกต/ข้อควรระวัง

1. ใบสะระแหน่สดและยอดอ่อนมีสรรพคุณดีกว่าใบสะระแหน่แห้ง
2. มีรายงานว่าใบสะระแหน่สามารถระงับอาการปวดได้ดีกว่ายาแก้ปวด


ที่มา http://www.n3k.in.th/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3/%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%88

โทษของไขมัน


อาหารประเภทไขมัน เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับร่างกาย นอกจากจะให้พลังงานแล้ว ยังมีกรดไลโนเลอิค ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็นสำหรับร่างกาย ช่วยในการดูดซึมวิตามินต่างๆ ฉะนั้น เราจึงจำเป็นต้องรับประทานอาหารประเภทไขมัน แต่ปริมาณไขมันที่ได้รับไม่ควรเกิน ร้อยละ 25 –30 ของพลังงานทั้งหมด ที่ได้รับจากสารอาหาร เพราะเมื่อรับประทานมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการแล้ว จะทำให้เกิดโรคอ้วน และภาวะไขมันในเลือดสูงได้
ภาวะไขมันในเลือดสูง เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดแข็งตัว ทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ของร่างกายไม่เพียงพอ ถ้าเกิดกับหัวใจหรือสมอง จะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคหัวใจวาย หรืออัมพาตได้
ไขมันในเลือดคืออะไร
ขมันในเลือด หรือโคเลสเตอรอล เป็นสารที่มีอยู่ในอาหาร จำพวกเนื้อสัตว์ และผลิตผลของสัตว์ โดยปกติแล้วร่างกายคนเรา จะมีโคเลสเตอรอลอยู่แล้ว โดยได้มา 2 ทางคือ จากอาหารที่รับประทาน และจากการสังเคราะห์ของตับในร่างกาย
ไขมันในเลือดประกอบด้วย
โคเลสเตอรอล เป็นสารไขมันที่ตับสร้างขึ้น เพื่อใช้ในการสร้างฮอร์โมนเพศเซลประสาท และน้ำดี นอกจากนี้ ร่างกายยังได้รับโคเลสเตอรอล จากอาหารประเภทเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์สัตว์ที่รับประทานอีกด้วย โคเลสเตอรอลในเลือด แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ
1.
โคเลสเตอรอลชนิดให้โทษ เรียก แอล.ดี.แอล. โคเลสเตอรอล ( LDL-C ) เป็นโคเลสเตอรอล ที่จะถูกสะสมไว้ตามผนังหลอดเลือดทั่วร่างกาย ทำให้หลอดเลือดแข็ง และตีบแคบอุดตัน เป็นสาเหตุของโรคหัวใจขาดเลือด หรือหลอดเลือดอุดตัน
2.
โคเลสเตอรอลชนิดให้คุณประโยชน์ เรียก เอช.ดี.แอล.โคเลสเตอรอล ( HDL-C ) ทำหน้าที่จับสาร
โคเลสเตอรอล ที่อยู่ตามผนังหลอดเลือด และนำกลับมาที่ตับเพื่อเผาผลาญเป็นกรดน้ำดี ทำให้ระดับ
โคเลสเตอรอลในเลือดไม่สูง และยังเชื่อว่า เอช
.ดี.แอล. โคเลสเตอรอล ช่วยป้องกัน ภาวะหลอดเลือดแดงแข็งและตีบได้
ไตรกลีเซอไรด์ เป็นสารอาหารประเภทไขมัน ที่เราบริโภคอยู่เป็นประจำ พบทั้งในพืชและสัตว์ ไตรกลีเซอไรด์ช่วยให้อาหารมีรสชาด และทำให้อิ่มท้องอยู่นาน ช่วยในการดูดซึมวิตามินเอ ดี อี และเค และที่สำคัญคือไตรกลีเซอไรด์ เป็นสารที่ให้พลังงานที่สำคัญแก่ร่างกาย แต่หากได้รับไตรกลีเซอไรด์จากอาหาร มากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ ไตรกลีเซอไรด์จะถูกสะสมไว้ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้น้ำหนักเพิ่ม และอ้วนขึ้น
ไตรกลีเซอไรด์ นอกจากจะได้จากการบริโภคไขมันแล้ว ตับยังสามารถสร้างไตรกลีเซอไรด์ จากอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล และแอลกอฮอล์ ที่เราบริโภคเข้าไปอีกด้วย ซึ่งจะอยู่ในสภาพไขมันชนิด วี.แอล.ดี.แอล. (VLDL)
วี.แอล.ดี.แอล นี้จะทำหน้าที่นำไตรกลีเซอไรด์ ที่ร่างกายสร้างขึ้น ไปไว้ตามผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแดงแข็งตัว
จะทราบได้อย่างไรว่ามีภาวะไขมันในเลือดสูงหรือไม่
การที่เราจะทราบว่าไขมันในเลือดสูงหรือไม่นั้น จำเป็นต้องตรวจเลือด ในการตรวจเลือด ควรงดอาหารประมาณ 12-14 .. ดังนั้น จึงนิยมให้งดอาหารทุกชนิด ยกเว้นน้ำเปล่า หลังอาหารเย็นจนถึงเช้า และมาเจาะเลือดก่อนรับประทานอาหารเช้า
ระดับโคเลสเตอรอลในเลือดของคนปกติ ควรต่ำกว่า 200 มิลลิกรัม / เดซิลิตร
ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดของคนปกติ ควรต่ำกว่า 200 มิลลิกรัม / เดซิลิตร
ระดับเอช.ดี.แอล. ในเลือด ควรสูงกว่า 35 มิลลิกรัม / เดซิลิตร
ระดับแอล.ดี.แอล. ในเลือด ควรต่ำกว่า 130 มิลลิกรัม / เดซิลิตร
ไขมันในเลือดสูงอันตรายอย่างไร
เมื่อระดับโคเลสเตอรอลเหลือเกิน ความต้องการของร่างกาย จะสะสมอยู่ในเส้นเลือดเป็นเวลานาน โคเลสเตอรอลจะจับเกาะ บริเวณผนังเส้นเลือด ทำให้เส้นเลือดแข็งตัว และเสียความยืดหยุ่น หรือไปอุดตันทางเดินโลหิต ทำให้หัวใจทำงานหนักมากขึ้น เป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง โรดหัวใจ ซึ่งอาจทำให้เป็นอัมพาต หรือเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ หากเส้นเลือดในสมองแตกหรือเกิดหัวใจวาย
อาการเมื่อโคเลสเตอรอลในเลือดสูง
เมื่อระดับโคเลสเตอรอลในเลือด สูงมากเป็นระยะเวลานาน โรคที่เกิดตามมาและพบบ่อยคือ โรคหัวใจ และหลอดเลือดหัวใจตีบ ซึ่งอาการเตือนอาจไม่เด่นชัดนัก คือ เหนื่อยง่ายขณะออกกำลัง เจ็บหน้าอก พอพักจะดีขึ้น อาจมีอาการเจ็บหน้าอกร้าวไปแขนซ้าย หรือหลัง หากมีอาการแบบนี้ควรไปพบแพทย์ทันที
สาเหตุของภาวะไขมันในเลือดสูงเกิดจากอะไรบ้าง
1.
ความผิดปกติทางกรรมพันธุ์
2.
โรคอ้วน ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกิน หรือขาดการออกกำลังกาย
3.
โรคบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคไตบางชนิด ภาวะไตวายเรื้อรัง โรคตับ
4.
การรับประทานอาหารที่มีไขมันมาก โดยเฉพาะไขมันจากสัตว์
5.
รับประทานอาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูงเป็นประจำ
6.
รับประทานอาหารหวานจัด ขนมหวาน น้ำหวาน หรืออาหารที่มีน้ำตาลสูง
7.
ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นประจำ
ควบคุมอาหาร เพื่อควบคุมระดับไขมันในเลือด
1.
ลดการรับประทานอาหารไขมันอิ่มตัวสูง เช่น น้ำมันหมู หมูสามชั้น เนย ครีม น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม อาหารที่ทำจากกะทิ เพราะกรดไขมันอิ่มตัวส่วนใหญ่ ทำให้ระดับโคเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น
2.
รับประทานไขมันไม่อิ่มตัวในปริมาณที่พอเหมาะ เช่น ใช้น้ำมันพืช , เนย-เทียมในการประกอบอาหาร แทนน้ำมันจากสัตว์ เพราะน้ำมันพืชที่สกัดจากเมล็ดพืช จะมีกรดไลโนเลอิก ที่เป็นตัวนำโคเลสเตอรอลไปเผาผลาญ สูงกว่าน้ำมันที่สกัดจากเนื้อพืช ซึ่งน้ำมันพืชที่ดี คือ น้ำมันมะกอก รองลงมาคือ น้ำมันถั่วเหลือง และน้ำมันข้าวโพด
3.
จำกัดปริมาณอาหาร ที่มีโคเลสเตอรอลสูง ไม่ควรรับประทานโคเลสเตอรอลเกิน 300 มิลลิกรัม ต่อวัน โดยปฏิบัติดังนี้
จำกัดไข่แดงไม่เกินสัปดาห์ละ 2 ฟอง หลีกเลี่ยงเครื่องในสัตว์
เลือกรับประทานเนื้อสัตว์ไม่ติดหนังและมัน
เลือกรับประทานเต้าหู้แทนเนื้อสัตว์ในบางครั้ง
เลือกรับประทานอาหารประเภท ต้ม นึ่ง ย่าง อบ ยำ แทนอาหารทอด หรือ อาหารผัดที่ใช้น้ำมันมากๆ
เลือกดื่มนม หรือ ผลิตภัณฑ์จากนมพร่องมันเนย หรือนมขาดไขมันเท่านั้น
4.
รับประทานอาหาร ที่มีเส้นใยอาหารให้มากขึ้น เช่น ผัก ผลไม้ต่างๆ ข้าวซ้อมมือ และเมล็ดถั่วแห้ง เป็นต้น โดยอาหารที่มีเส้นใยสูง จะช่วยลดระดับโคเลสเตอรอล โดยจับกับน้ำดีที่มีโคเลสเตอรอลสูง ทำให้การดูดซึมลดลง
5.
หลีกเลี่ยงน้ำหวาน ขนมหวานทุกชนิด ที่มีน้ำตาลหรือแป้งมาก รับประทานข้าวก๋วยเตี๋ยว ขนมปังแต่พอสมควร เพราะจะสะสมเกิดเป็น ไขมันไตรกลีเซอไรด์ได้
6.
หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เนื่องจากกระตุ้นให้มีการสร้างไตรกลีเซอไรด์ มากขึ้น
7.
ควรหลีกเลี่ยงอาหารบางอย่าง ที่มีโคเลสเตอรอลต่ำ หรือไม่สูงมาก แต่มีปริมาณไขมันจำนวนมาก ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นโคเลสเตอรอล ในร่างกาย เช่น ถั่ว หนังเป็ด,ไก่ เนย เป็นต้น ซึ่งมีไขมันถึง 60-70%
8.
ไขมันจากปลาทะเล สามารถลดระดับไตรกลีเซอไรด์ ทำให้เกล็ดเลือดจับตัวน้อยลง และเส้นเลือดบีบตัวน้อยลง แต่มีผลต่อโคเลสเตอรอล และเอ็ชดีแอล โคเลสเตอรอลไม่ชัดเจน


ที่มา 
http://www.yourhealthyguide.com/article/aco-high-cholesterol.html

งู


   งูใน Genus Naja (งูเห่าทั้งหมด) จะมีความสามารถที่เด่นชัด นั่นก็คือการ “แผ่แม่เบี้ย” ซึ่งเป็นการข่มขู่ศัตรูที่มาบุกรุกหรือมาทำร้ายมัน โดยงูเห่าจะยกลำตัวส่วนหน้าขึ้นเหนือจากพื้น และแผ่โครงกระดูกบริเวณลำคอออก ให้ดูตัวใหญ่น่าเกรงขาม และมันยังสามารถส่งเสียงขู่ฟ่อได้ เป็นที่มาของชื่องูเห่านี่เอง
โดยในประเทศไทย มีงูเห่าอยู่3ชนิด (ไม่นับงูจงอาง งูจงอางไม่ใช่งูเห่าครับ) ซึ่งชนิดแรกคือ “งูเห่าไทย” ซึ่งเป็นงูเห่าที่ Classic มากๆสำหรับประเทศไทย แต่อีกสองชนิดเป็น “งูเห่าพ่นพิษ”ครับ

งูเห่าไทย (Naja kaouthia) หรือชื่อสามัญ Monocled Cobra เป็นงูพิษใน Family Elapidae ซึ่งเป็น Family เดียวกับ งูจงอาง และกรีนแมมบ้า ที่โด่งดังและลือชื่อในเรื่องของความอันตราย มิหนำซ้ำงูเห่านี้ยังหากันได้ง่ายๆในประเทศไทยอีกต่างหาก
งูเห่าไทยนั้นนับว่าเป็นงูพิษที่ยาวมากๆ ด้วยความยาวที่สามารถยาวได้ถึง2เมตร ลำตัวเป็นรูปทรงกระบอก เกล็ดเรียบ และลำตัวด้านบนมีสีได้หลากหลาย อาจเป็นดำ น้ำตาล เทา หรือเหลืองก็ได้แล้วแต่ตัว นอกจากนี้ในงูเห่าบางตัวยังปรากฏลายจางๆเป็นเส้นพาดขวางกับลำตัวด้วย โดยส่วนหัวด้านล่างจะมีสีขาว ทำให้ไม่เป็นสีดำสนิท จะดูสว่างๆ
ลักษณะพิเศษของงูเห่าไทย หรือ monocled Cobra นี้คือ ลายที่ด้านหลังของแม่เบี้ยจะปรากฏเป็นรูปวงกลม (monocle แปลว่า แว่นตาข้างเดียว) และ “ด้านหน้า”ของแม่เบี้ย มักจะปรากฏเป็น สีขาวพาดสลับกับสีดำ
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ส่วนมากจะมีลายปรากฏแบบนั้น แต่งูเห่าชนิดนี้เป็นสัตว์ที่มีความหลากหลายมากๆ เหมือนคนที่เกิดมาก็มีผมหยิกผมตรงผมหยักศก ผิวคล้ำผิวขาวผิวเหลือง บลาๆ เพราะฉะนั้นบางครั้งลายทั้งด้านหน้าและด้านหลังของแม่เบี้ยก็สามารถผิดเพี้ยนเปลี่ยนแปลงไปได้

^งูเห่าที่มีโทนสีอ่อนและลายที่แม่เบี้ยหายไปครับ

งูเห่าไทยมีพิษที่อันตรายถึงชีวิตหากไม่ได้รับการรักษา และพิษของมันมีฤทธิ์ทำลายระบบประสาท จนในที่สุดผู้ถูกกัดก็ตายจากอาการระบบหายใจล้มเหลว นอกจากนี้พิษของมันยังทำให้เกิดอาการเนื้อตายในบริเวณที่ถูกกัดด้วย
งูเห่าเป็นสัตว์หวงถิ่น และหากินกลางคืน แต่ก็สามารถพบมันนอนอาบแดดอยู่ในตอนกลางวันได้ บางครั้งก็ใกล้กับถิ่นอาศัยของคน และเมื่อสัตว์หวงถิ่นสองชนิดมาเจอกัน ก็ย่อมเกิดปัญหาตามมาแน่นอน งูเห่านั้นเป็นงูที่ค่อนข้างดุร้าย โดยถ้าหากเป็นการรบกวนเล็กน้อย มันอาจจะเลื้อยออกไปหาที่กำบัง
แต่ถ้ามันสัมผัสได้ถึงอันตรายเมื่อไหร่ มันจะเริ่มต้นการต่อสู้ด้วยการขู่และแผ่แม่เบี้ย และจะเริ่มฉกเพื่อเป็นการป้องกันตัวเอง
โดยงูใน Family Elapidae (งูเห่า งูจงอาง กรีนแมมบ้า ฯลฯ) จะต่างกับ Family Viperidae (หางกระดิ่ง งูแมวเซา เขียวหางไหม้) ตรงที่พวกViperนั้น ส่วนมากเมื่อป้องกันตัวเอง มันจะขดตัวพร้อมฉก และสร้าง “บริเวณต้องห้าม” นั่นคือถ้าเราไม่เข้าไปในบริเวณนั้นมันจะไม่โจมตี แต่ถ้าหากเป็นพวก Elapids เมื่อมันจะป้องกันตัวเอง บางครั้งมันจะเลื้อยเข้าไปฉกใส่ศัตรูเลย โดยไม่ตั้งหลักป้องกันตัวเหมือนพวกไวเปอร์
ส่วนความเชื่อที่ว่า งูเห่าเป็นงูอาฆาต อาจเป็นเพราะไปปนกับความเชื่อว่า "จงอางอาฆาต" ซึ่งเกิดจากการที่งูจงอางเวลากัดมันจะไม่ยอมปล่อย เพราะงูจงอางจะฉีดพิษแทบทั้งหมดที่มันมีในตอนนั้นลงไป จึงใช้เวลานาน ในขณะที่งูเห่าจะฉกแล้วหนีทันที ไม่กัดค้าง

อย่างไรก็ตาม Monocled Cobra เป็นงูเห่าธรรมดา นั่นหมายถึงมันพ่นพิษไม่ได้ และโจมตีจากการกัดเท่านั้น แต่ถ้าหากเป็นงูเห่าพ่นพิษละก็…

งูเห่าพ่นพิษ เป็นงูที่มีความสามารถในการแผ่แม่เบี้ย เช่นเดียวกับงูเห่าธรรมดาที่เพิ่งพูดไปเมื่อกี้ แต่คุณสมบัติพิเศษที่อันตรายของมันคือการ พ่นพิษ ครับ
โดยการจะแยกแยะว่า งูเห่าตัวไหนเป็นงูเห่าธรรมดา ตัวไหนเป็นพ่นพิษ ผมบอกตามตรงครับ แยกยากพอสมควร เพราะอย่างที่ได้บอกไป งูเห่าเป็นสัตว์ที่มีลักษณะหลากหลายในสายพันธุ์เดียว บ้างก็มีลายไม่มีลาย มีแค่ตัวที่ปรากฏลักษณะชัดเจนเท่านั้นแหละครับ ที่สามารถแยกออกจริงๆ เพราะฉะนั้น ผมจะพูดถึงลักษณะที่เด่นจริงๆของมันแล้วกันครับ

งูเห่าพ่นพิษสยาม (Naja siamensis) ลักษณะโดยรวมของมันก็ไม่แตกต่างอะไรมากกับงูเห่าธรรมดา ทำให้คนสับสนมันกับงูเห่าธรรมดาบ่อยๆ แต่ขนาดตัวของมันจะเล็กกว่าครับ นั่นคือยาวได้สูงสุด 160 cm [งูเห่าธรรมดา 2 เมตร(200 cm)] และสีส่วนมากก็เหมือนๆกันนั่นคือ ดำ น้ำตาล หรือเทาๆ แต่ที่แม่เบี้ยของมันลวดลายจะแตกต่างออกไป ในบางตัวจะปรากฏเป็นตัว U , V หรือแม้แต่ H โดยบางครั้งลายเหล่านี้จะปรากฏแค่ลางๆ
ลวดลายตามลำตัวของมันนั้นหลากหลายยิ่งกว่างูเห่าธรรมดาอีก ในบางตัวอาจเป็นสีเดียวไปทั้งตัว และปรากฏลายจางๆ แต่บางตัวเป็นลายขาวดำปนกันเลอะเทอะ ซึ่งถ้าสีขาวเปรอะเยอะกว่าดำอย่างชัดเจน ให้คิดไว้ก่อนว่ามันพ่นพิษได้ครับ
-------------------------------
งูเห่าพ่นพิษสีทอง (Naja sumatrana) ชื่อของมันอาจจะบอกว่ามันสีทอง แต่จริงๆแล้วมันสามารถมีได้ถึงสองสี นั่นคือ เหลือง และ ดำ ครับ แต่เนื่องจากสีเหลืองทองนี้พบมากกว่าในตอนใต้ของไทยมาก มันจึงได้ชื่อนี้มา ส่วนแบบสีดำ จะพบมากกว่าในมาเลซียและสิงคโปร์
เช่นเดียวกันกับงูเห่าพ่นพิษสยาม มันอาจจะหน้าตาคล้ายงูเห่าธรรมดา แต่ขนาดของมันเล็กกว่าด้วยความยาวสูงสุด 160 cm โดยทั้งแบบสีเหลืองและสีดำจะมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันนั่นคือ ลายบนแม่เบี้ยจะไม่มี และลายตามลำตัวส่วนมากจะเรียบๆไปเลย นับว่าเป็นงูที่ขี้เกียจออกแบบลวดลายเอามากๆตัวนึง
^แบบสีดำ
ด้านหน้าของแม่เบี้ยมักจะมีลายแค่นิดเดียวเช่นกัน และในแบบสีดำ แม่เบี้ยจะมีสีดำเขลอะมากกว่าสีขาว (ในงูเห่าธรรมดาแถบสีขาวจะกว้าง ชัด) และส่วนหัวจะทำเข้ม ต่างกับงูเห่าธรรมดาที่หัวจะดูสว่างๆ
ส่วนในแบบสีเหลือง สีที่ว่าเหลืองของมันนั้นจะไม่นวลงามนะครับ แต่จะเป็นเหลืองคล้ำๆ เหมือนเลอะฝุ่นมา แบบในรูป

ความดุร้ายและพิษของงูเห่าพ่นพิษนั้นอันตรายไม่ต่างจากงูเห่าธรรมดา นั่นคือการข่มขู่ด้วยแม่เบี้ยและเสียงขู่ฟ่อ การกัดเพื่อฉีดพิษที่ทำลายระบบประสาท แต่เนื่องจากว่ามันติด skill พิเศษมาด้วย ทำให้สำหรับผม มันอันตรายกว่างูเห่าธรรมดา
การพ่นพิษของงูเห่าพ่นพิษ เป้าหมายของมันคือลูกตาครับ เพราะพิษงูมันไม่ใช่กรด มันไม่ใช่ว่าพ่นมาโดนหนังแล้วจะอ้ากจ้ากแว้กแจ้ก แต่ก็อย่าไปดูถูกมันเชียวนะครับ การพ่นพิษของงูเห่านั้นแม่นยำ และพ่นได้ไกลถึงสองเมตร เพราะฉะนั้นเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่ไม่ควรเข้าไปยุ่งเลยถ้าไม่จำเป็น
เมื่อพิษของงูเห่าเข้าลูกตา ถ้าหากรีบล้างออกทันเวลา ไม่นานอาการเจ็บปวดก็จะหายไปและกลับเป็นปกติครับ แต่ถ้าปากปล่อยทิ้งไว้ มีสิทธิ์บอดถาวรครับ


สุดท้ายนี้ งูเห่าทุกชนิด ผมยอมรับว่าเป็นงูที่น่าเกรงขาม และเป็นงูที่สมควรจะกลัวจริงๆ ทั้งนิสัยที่ดุร้ายและพิษที่ถึงตาย แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น สำหรับผมแล้ว การรับมืองูเห่า ก็ไม่ใช่การไป “ตีล้างเผ่าพันธุ์”ของมันเช่นกัน ซึ่งผมมีสามสาเหตุ (ตีล้างเผ่าพันธุ์ในที่นี้ หมายถึงเจอมันนอนอยู่ก็เข้าไปตีๆ ทั้งๆที่มันยังไม่ได้ทำอะไร)
อย่างแรกเลย มันเลือกเกิดไม่ได้ว่าจะมีพิษหรือไม่มี และมันเองก็หวงถิ่น เช่นเดียวกับที่คนหวงบ้าน การที่งูออกมาขู่ฟ่อๆกลางถนนพยายามจะฉกคน คนส่วนหนึ่งอาจจะมองเป็น “คนคลั่งออกมาเอามีดไล่ฟันชาวบ้าน” แต่ผมก็มองเป็น “คนที่กำลังตื่นตระหนก เนื่องจากมีคนแปลกหน้า คนอันตราย เต็มรั้วบ้านของมันไปหมด” ก็ได้
อย่างที่สอง ลองคิดดูนะครับ การเข้าไปตีงูที่นอนเฉยๆน่ะ มันคือการเพิ่มความเป็นไปได้ที่จะโดนฉกอย่างสูง ยิ่งถ้าสมมติมันเป็นงูเห่าพ่นพิษ ได้ตาบอดกันแน่ๆครับ เพราะเอาไม้ไปตี จะมีสักกี่คนที่ตีได้จากระยะที่ไกลกว่า2เมตร
อย่างที่สามไม่ต้องพล่ามให้มาก ระบบนิเวศ ครับ การนำสัตว์แปลกๆมาเลี้ยงจนมันแพร่พันธุ์นั้นเป็นการทำลายระบบนิเวศ แต่การจะกำจัดสัตว์ท้องถิ่นให้หมดไป ก็เป็นการทำลายระบบนิเวศ เห็นแบบนี้ งูเป็นสัตว์ที่ช่วยลดจำนวนของหนู ซึ่งเป็นทั้งพาหะนำโรคและสัตว์ที่ทำลายการเกษตร

การจะรับมือกับงูเห่าไม่ว่าจะพันธุ์ไหนก็ตาม ให้คิดไว้ก่อนว่ามันพ่นพิษได้ และรักษาระยะให้ห่างกว่า2เมตร และการจับควรจะทำโดยผู้เชียวชาญ เพราะถ้าหากพลาดแม้แต่ครั้งเดียว นั่นหมายถึงชีวิต
ถ้าหากพบงูเห่าโดยบังเอิญ อีกวิธีหนึ่งนั่นคือการยืนนิ่งๆ ในระยะที่ห่างพอสมควร งูเห่าเป็นสัตว์ที่ตาไม่ค่อยดี จะเห็นเฉพาะสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ตรงหน้า เพราะฉะนั้น ถ้าหากเราอยู่นิ่งๆ มันก็อาจจะอารมณ์เย็นลง หุบแม่เบี้ยลง แล้วตัดสินใจเลื้อยหนีไป
แต่จริงๆแล้วสำหรับงูเห่า เมื่อสถานการณ์บังคับให้มีเรื่องกับมัน การจะฆ่าหรือไม่ฆ่า ผมยอมรับว่าสนับสนุนเหตุผลได้ไม่เต็มที่ เพราะงูเห่านั้นอยู่ใกล้มนุษย์และดุร้าย
แต่ถ้าหากมันไม่ได้เลื้อยออกมาขู่ฟ่อใส่เรา ผมว่าอย่าไปทำอะไรมันดีที่สุดครับ เพราะพิษของงูมีไว้ป้องกันตัว จู่ๆมีคนมาชกเรา ถ้าไม่สู้เราก็ตายสิครับ
งูเห่าเองก็เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดนึง ไม่ต่างไปจากคนหรือสัตว์อื่นๆ มันเองก็ต้องการที่อยู่ ซึ่งมนุษย์เองก็แย่งที่อยู่ของสัตว์อื่นมามากพอแล้ว ถ้าไม่จำเป็นที่จะต้องใช้พื้นที่นั้นๆ ก็เลี่ยงไปก่อนก็ได้ครับ หรือถ้าจะให้มันออกไป จับไปปล่อยไกลๆมันก็หาที่อยู่ของมันได้ครับ
เรื่องนี้พูดยากครับ ผมก็มองในมุมมองคนรักงู หลายๆคนก็มองในมุมมองปลอดภัยไว้ก่อน ไม่มีใครตัดสินใครได้ทั้งนั้นว่าผิดหรือถูก เพราะทุกคนก็เลือกที่จะตัดสินให้สิ่งที่ดีต่อตนเองเป็นสิ่งดีทั้งนั้น

สำหรับผม การที่เขียนเกี่ยวกับงูนี้ ผมอยากให้คนเห็นความหลากหลาย ทั้งสวยงามความโหดร้ายและความน่าเกรงขามของธรรมชาติ ไม่ใช่เพื่อให้คนไปทำลาย แต่เพื่อให้รักษา หรืออยู่ร่วมกับมันให้ได้ดีที่สุดเท่านั้นครับ


ที่มา http://tanbabasnake.exteen.com/20120823/8216-genus-naja-8217

วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

กอด - ILLSLICK & G-FORCE &THAIBLOOD

ขิม

ประวัติขิม
(บทความเรื่องขิม ตอน "จากอาณาจักรเปอร์เซีย - ผ่านเส้นทางสายไหม - สู่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา)
โดย ชนก สาคริก
ขิม เป็นเครื่องดนตรีที่นิยมบรรเลงเล่นกันทั่วไปในหลายประเทศทั้งในทวีปยุโรปและทวีปเอเซีย เครื่องดนตรีชนิดนี้น่าจะพัฒนามาจากเครื่องดนตรีประเภท "พิณ" ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงโดยเหนี่ยวสายให้เกิดเป็นเสียงด้วยนิ้วหรือวัสดุแข็งที่ทำจากกระดูกหรือเขาสัตว์ต่อมาจึงใด้คิดประดิษฐ์รูปร่างใหม่ให้เหมาะสมกับการใช้ไม้ตีลงไปบนสายให้เกิดเสียงแทนการใช้นิ้ว
แม้ขิมจะเป็นที่รู้จักกันดีทั่วไปแต่ประวัติความเป็นมาของขิมนั้นมีคนทราบน้อยมาก อย่างเช่นในเมืองไทยคนส่วนใหญ่จะคิดว่าขิมเป็นเครื่องดนตรีของจีนเพราะทราบแต่เพียงว่าไทยรับเอาแบบอย่างการบรรเลงขิมหรือการประดิษฐ์ขิมมาจากชาวจีนที่เข้ามาค้าขายกับเมืองไทยในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ สำหรับชาวยุโรปส่วนใหญ่จะทราบว่าขิมเป็นเครื่องดนตรีที่แพร่เข้ามาจากทางตะวันออกแถบเอเซียกลางซึ่งก็คือบริเวณที่ตั้งของประเทศตุรกี อิหร่าน อิรัค และประเทศในกลุ่มศาสนาอิสลามอีกหลายประเทศในปัจจุบันนั่นเอง แต่ในยุคโบราณซึ่งนับถอยหลังไปประมาณ 539 - 330 ปีก่อนศริสตกาลนั้นบริเวณดังกล่าวตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของชนชาติที่เคยยิ่งใหญ่ชาติหนึ่งนั่นคือ "อาณาจักรเปอร์เซีย"
ชนชาติเปอร์เซียนโบราณเป็นทั้งชาตินักรบและศิลปินสังเกตได้จากอาณาจักรที่แผ่กว้างไกลและสิ่งก่อสร้างที่หลงเหลือมาจนถึงยุคปัจจุบัน แสดงให้เห็นถึงความละเอียดอ่อนในด้านสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของตนเองและชนชาติเปอร์เซียนนี้เองที่เชื่อกันว่าเป็นผู้ริเริ่มคิดประดิษฐ์ ขิม ขึ้นมาก่อนเป็นชาติแรก
เมื่อชาวเปอร์เซียนคิดประดิษฐ์ขิมขึ้นแล้วก็แพร่หลายไปทั้งทวีปยุโรปและเอเซียตามอิทธิพลของอาณาจักรเปอร์เซีย สำหรับทวีปเอเซียนั้นแพร่เข้ามาทางเส้นทางสายไหมไปสู่ประเทศจีนโดยพ่อค้าชาวเปอร์เซียน ด้วยเหตุนี้ชาวจีนจึงเรียกขิมว่า "หยางฉิน" (Yang Ch'in) ซึ่งแปลว่า "เครื่องดนตรีของต่างชาติ" ส่วนที่แพร่ไปทางดินเดียก็มีเหมือนกันโดยชาวดินเดียเรียกขิมว่า "ซันตูร์" (Santoor) ในทวีปยุโรปเรียกขิมว่า "ดัลไซเมอร์" (Dulcimer) ที่จริงคำว่า Dulcimer มิได้หมายถึงขิมเท่านั้นแต่หมายรวมไปถึงเครื่องดนตรีประเภทพิณที่ทำด้วยไม้แล้วขึงสายโลหะทุกประเภท ส่วนใหญ่เครื่องดนตรีที่ขึงสายนั้นจะบรรเลงด้วยการใช้นิ้วมือหรือวัสดุเล็กที่เรียกว่า "ปิ๊ก" (Pick) ดีดหรือเขี่ยสายให้เกิดเสียงและใช้นิ้วมืออีกข้างกดสายเพื่อให้เกิดเป็นทำนองเสียงสูงต่ำแตกต่างกันแต่ขิมเป็นเครื่องดนตรีประเภท Dulcimer ที่ใช้ไม้ 2 อันตีไปตามสายดังนั้นจึงเรียกขิมอีกชื่อหนึ่งว่า Hammered Dulcimer ซึ่งหมายถึงพิณที่บรรเลงด้วยการใช้ฆ้อนไม้เล็กๆตีลงไปบนสายนั่นเอง
โดยเหตุที่ชาวจีนเป็นนักคิดประดิษฐ์และมีรูปแบบศิลปะเป็นของตนเองดังนั้นเมื่อรับเอารูปแบบของขิมมาจากเปอร์เซียแล้วจึงนำมาดัดแปลงเป็นแบบฉบับของตนเองและนิยมบรรเลงกันแพร่หลายทั่วไปแต่มิได้ตั้งชื่อใหม่ให้กับเครื่องดนตรีชนิดนี้คงเรียกว่าหยางฉินสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน
ครั้นถึงยุคต้นๆของกรุงรัตนโกสินทร์เมื่อมีพ่อค้าชาวจีนแล่นเรือเข้ามาค้าขายและตั้งหลักแหล่งในประเทศไทยมากขึ้นนักดนตรีไทยเห็นชาวจีนนำหยางฉินเข้ามาบรรเลงเล่นกันในชุมชนของชาวจีนและโรงงิ้วจึงเกิดความสนใจและได้นำเครื่องดนตรีชนิดนี้เข้ามาร่วมบรรเลงกับเครื่องดนตรีของไทยเช่น ซอด้วง ซออู้ และเห็นว่ามีความไพเราะน่าฟังเหมาะสมกลมกลืนกันดีจึงจัดให้ขิมเป็นเครื่องดนตรีของไทยอีกชนิดหนึ่งซึ่งรวมอยู่ในประเภทวงเครื่องสายทั้งนี้อาจจะเห็นว่าขิมนั้นมีสายขึงเรียงรายอยู่มากมายทั้งๆที่ลักษณะการบรรเลงของขิมนั้นน่าจะจัดอยู่ในประเภทเครื่องตีเช่นระนาดเอกหรือฆ้องวงมากกว่าแต่เนื่องจากเสียงขิมนั้นเมื่อบรรเลงรวมกับเสียงของวงปี่พาทย์แล้วไม่ค่อยสนิทสนมกลมกลืนเหมือนบรรเลงกับวงเครื่องสายด้วยเหตุนี้ขิมจึงถูกจัดให้เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายและเรียกวงดนตรีที่ใช้ขิมร่วมบรรเลงว่า "วงเครื่องสายผสมขิม" ประกอบด้วย ซอด้วง ซออู้ ขิม ขลุ่ยเพียงออ โทน รำมะนา ฉิ่ง
มีเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับชื่อ "ขิม" คือ คำนี้มีที่มาอย่างไรกันแน่ ในเมื่อชาวจีนเรียก ขิมว่า หยางฉิน ชาวตะวันตกเรียก แฮมเมอร์ดัลไซเมอร์ ชาวอินเดียเรียกว่า ซันตูร์ ชาติอื่นๆต่างก็มีชื่อเรียกขิมแตกต่างไปไม่เหมือนกันซึ่งไม่ปรากฏว่ามีชื่อใดที่มีการออกเสียงใกล้เคียงกับคำว่า ขิม เลย แล้วเหตุใดคนไทยจึงเรียกเครื่องดนตรีชนิดนี้ว่า ขิม
เรื่องนี้ยังไม่ปรากฏหลักฐานใดที่ชี้ชัดแต่นักดนตรีไทยรุ่นหลังๆคาดเดากันเองว่าคำนี้คนไทยรุ่นแรกๆที่นำขิมมาบรรเลงอาจจะเรียกชื่อขิมเพี้ยนมาจากคำว่า "คิ้ม" ในภาษาจีน เนื่องจากคำว่าคิ้มในภาษาจีนหมายถึง เครื่องดนตรีประเภท "พิณ" ทุกชนิด คล้ายๆกับที่ชาวยุโรปเรียก ดัลไซเมอร์ (Dulcimer) นั่นเอง และเป็นไปได้ว่าเมื่อคนไทยถามถึงชื่อเครื่องดนตรีชนิดนี้ ชาวจีนอาจจะบอกว่าชื่อ คิ้ม ซึ่งเป็นชื่อเรียกรวมๆของขิมแต่คนไทยคงได้ยินเป็นขิมเลยเรียกกันต่อๆมาจนถึงปัจจุบันเพราะการออกเสียงคำว่า คิ้ม กับ ขิม นั้นดูจะใกล้เคียงกันมากอย่างไรก็ดีเรื่องนี้เป็นเพียงการสันนิษฐานคาดเดากันเองเท่านั้น ที่มาจริงๆยังไม่มีผู้ใดทราบแน่ชัด
ยังมีชื่อเรียกขิมเป็นภาษาอังกฤษที่แปลกและน่าสนใจอีกชื่อหนึ่งซึ่งไม่ค่อยมีคนทราบมากนักชื่อนั้นคือ Butterfly Harp หมายถึงพิณที่มีรูปร่างคล้ายกับตัวผีเสื้อกล่าวคือเมื่อเรานำ ตัวขิม ฝาขิม และอุปกรณ์ในการตีขิมมาเรียงเข้าด้วยกันให้เหมาะสมถูกตำแหน่งแล้วจะมองดูคล้ายกับผีเสื้อกำลังกางปีกบินมากทีเดียวจึงมีผู้เรียกขิมว่า "พิณผีเสื้อ" หรือ Butterfly Harp ซึ่งฟังไพเราะและมีความหมายเข้ากันได้ดีทีเดียว
ขิมโป๊ยเซียน
ขิมเริ่มมีบทบาทในวงดนตรีไทยจริงๆในสมัยรัชกาลที่ 6 โดย อาจารย์มนตรี ตรโมท เป็นผู้ริเริ่มนำขิมมาบรรเลงในวงดนตรีไทย หลังจากนั้นก็มีผู้นิยมบรรเลงขิมกันแพร่หลายทั่วไป ขิมจีนรุ่นแรกๆนั้นคนไทยนิยมเรียกว่า "ขิมโป๊ยเซียน" เป็นขิมที่สั่งเข้ามาจากประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ที่เรียกว่าขิมโป๊ยเซียนก็เพราะขิมรุ่นนั้นนิยมวาดภาพเซียนแปดองค์ของจีนไว้บนฝาขิมต่อมาเมื่อความต้องการซื้อขิมเพิ่มมากขึ้นประกอบกับประเทศจีน ทำการปิดประเทศช่างดนตรีของไทยจึงได้คิดประดิษฐ์ขิมขึ้นมาเองโดยเปลี่ยนจากภาพเซียนแปดองค์เป็นภาพลายไทยอื่นๆเช่นลายเทพนมเป็นต้น
1) หน้าขิม 2) ฝาขิม 3)ลิ้นชัก 4) ฆ้อนขิม 5) ไม้ขิม 6)หย่องขิม 7)หมุดยึดสาย
8) ช่องเสียง 9) สายขิม 10) หย่องบังคับเสียง 11) ห่วงลิ้นชัก 12) หมุดเทียบเสียง
มีเรื่องเล่าที่น่าขบขันเกี่ยวกับขิมจีนที่พ่อค้าคนไทยสั่งซื้อมาจากเมืองจีนว่า ในตอนที่คนไทยเริ่มนิยมบรรเลงขิมจีนกันมากนั้นมีพ่อค้าคนไทยคนหนึ่งต้องการจะสั่งขิมจีนเข้ามาจำหน่ายที่ร้านแต่ต้องการให้ช่างจีนเขียนลายบนฝาขิมเป็นภาพหนุมานกำลังหักคอช้างเอราวัณจึงจัดหาภาพดังกล่าวส่งไปพร้อมกับใบสั่งซื้อครั้นเมื่อสินค้ารุ่นแรกเข้ามาถึงจำนวน 12 ตัวปรากฏว่าลวดลายบนฝาขิมกลายเป็นภาพเสือกำลังตะปบคอช้าง พ่อค้าจึงเขียนหนังสือต่อว่าไปทางเมืองจีนว่าภาพนั้นควรจะเป็นภาพลิงหักคอช้างแต่ช่างจีนโต้ตอบกลับว่า ..ลิงที่ไหนจะสามารถหักคอช้างได้ ควรจะเป็นเสือมากกว่า.. เขาจึงเขียนแก้ให้ถูกต้องตามที่ควรจะเป็น เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในยุคแรกที่ขิมเริ่มเข้ามาในเมืองไทย เพราะพ่อค้าคนนั้นเป็นเพื่อนกับบิดาของผู้เขียนและเรื่องนี้บิดาของผู้เขียนคือพระมหาเทพกษัตรสมุห (เนื่อง สาคริก) เป็นผู้เล่าให้ฟังด้วยตนเอง เมื่อเป็นดังนี้พ่อค้าคนนั้นจึงเลิกสั่งขิมจากประเทศจีนและขิมที่มีฝาเป็นรูปเสือตะปบคอช้างจึงมีเพียง 12 ตัวเท่านั้น ขิมรุ่นนี้ผู้เขียนได้มีโอกาสเห็นด้วยตาของตนเองครั้งหนึ่งเมื่อมีลูกศิษย์นำมาให้ช่วยปรับสียง ลูกศิษย์บอกว่าเป็นของมรดกตกทอดของคุณย่าของเขาแต่สภาพของขิมตัวนั้นไม่เหมาะที่จะนำมาบรรเลงแล้วเนื่องจากมีสภาพชำรุดทรุดโทรมมากผู้เขียนจึงบอกให้เขาเก็บไว้เป็นของเก่าที่มีคุณค่าดีกว่าเพราะเป็นขิมรุ่นที่มีเพียง 12 ตัว เท่านั้น
เมื่อจีนปิดประเทศอยู่หลังม่านไม้ไผ่และความต้องการขิมในเมืองไทยเพิ่มมากขึ้นจึงเป็นแรงจูงใจให้ช่างดนตรีไทยผลิตขิมขึ้นใช้เองในประเทศขิมไทยจึงถือกำเนิดขึ้นและมีการพัฒนาเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ช่างดนตรีไทยได้ประดิษฐ์ขิมขึ้นโดยเลียนแบบอย่างจากขิมโป๊ยเซียนแต่มีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย และโดยความที่คนไทยเป็นนักคิดประดิษฐ์ไม่แพ้ชาติอื่นช่างดนตรีไทยจึงปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรูปร่างลักษณะและอุปกรณ์สำหรับตีขิมให้แตกต่างออกไปบ้างอาทิเช่นไม้ขิมของจีนนั้นเดิมตรงส่วนปลายเป็นเพียงสันไม้ไผ่เปล่าๆไม่มีวัสดุห่อหุ้ม ช่างไทยก็หาวัสดุจำพวกแผ่นหนังมาติดไว้เวลาตีสายขิมจะมีเสียงไพเราะนุ่มนวลน่าฟังมากกว่า ลวดลายที่วาดบนฝาขิมก็เปลี่ยนเป็นลายไทยเช่นลายเทพนมฯหรือถ้าวาดเป็นลายจีนก็เป็นลายจีนแบบไทยที่คิดประดิษฐ์ลายเองเช่นลายมังกรคู่หรือลายจีนอื่นๆแล้วแต่จินตนาการของช่างแต่ละแหล่งผลิต
ขิมไทยมีพัฒนาการเรื่อยมาทั้งในด้านรูปร่างลักษณะและอุปกรณ์ที่ใช้ในการบรรเลงขิมอาทิเช่น ทำตัวขิมเป็นรูปเหมือนกระเป๋าเดินทางมีหูหิ้วเพื่อให้สะดวกในการนำ ไปบรรเลงยังที่ต่างๆ ทำถุงใส่ตัวขิมทั้งที่เป็นพลาสติกหนังและผ้า บางทีก็ทำเป็นสายเข็มขัดรัดตัวขิมมีหูหิ้วในตัวฯลฯ แต่การพัฒนาที่นับว่าเป็นการก้าวกระโดดครั้งสำคัญครั้งแรกของวงการผลิตขิมของไทยก็คือการผลิตขิมชนิด "หมุดเกลียว"
แต่เดิมนั้นขิมจีนและขิมที่ผลิตโดยคนไทยล้วนใช้หมุดยึดสายขิมแบบ "หมุดตอก" ทั้งสิ้น หมุดตอกคือหมุดที่ต้องใช้ฆ้อนเล็กๆตอกย้ำหมุดให้แน่นขณะที่ปรับเสียงขิมเพราะถ้าหมุดไม่แน่นจะคลายตัวง่ายทำให้เสียงขิมเพี้ยนแปร่งไม่น่าฟังแต่เนื่องจากตัวหมุดทำด้วย
ทองเหลืองบางครั้งจะบิดงอได้ง่ายหรือบางทีส่วนปลายหักค้างอยู่ในเนื้อไม้ทำให้ตอกไม่ลงและตัวหมุดไม่ยึดเนื้อไม้จึงไม่สามารถเทียบเสียงเส้นนั้นได้นอกจากนั้นขิมแบบหมุดตอกตัวหมุดมีผิวเรียบไม่ค่อยจะยึดกับเนื้อไม้ได้ดีนักต้องหมั่นตอกย้ำกันอยู่เสมอมีบ่อยครั้ง ที่หมุดคลายตัวขณะที่กำลังบรรเลงเพราะแรงสั่นสะเทือนจากการตีสายขิมทำให้ต้องหยุดบรรเลงบ่อยๆ ด้วยเหตุนี้จึงมีช่างดนตรีไทยท่านหนึ่งคิดแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยเปลี่ยนมาใช้หมุดเกลียวแทนหมุดตอกทำให้สายขิมไม่ค่อยคลายตัวง่ายและยังสะดวกในการเทียบสายขิมเพราะไม่ได้ใช้ฆ้อนตอกแต่ออกแบบอุปกรณ์เทียบเสียงใหม่เป็นกระบอกสวมหัวหมุดและมีก้านสำหรับจับบิดไปมาได้แรงมากกว่าการหมุนที่หัวฆ้อนแบบเดิมการปรับเสียงขิมจึงทำได้สะดวกรวดเร็วขึ้นมากและสายขิมไม่คลายตัวง่ายเหมือนหมุดตอกนับเป็นการพัฒนาครั้งสำคัญครั้งแรกของการผลิตขิมของไทย
น่าแปลกที่ช่างดนตรีท่านนี้ไม่ได้เป็นช่างดนตรีโดยอาชีพแต่เป็นนายแพทย์ที่จบจากโรงพยาบาลศิริราชชื่อนายแพทย์สมชาย กาญจนสุต นายแพทย์สมชายเป็นนักดนตรีไทยที่ชอบบรรเลงขิมแต่มีนิสัยชอบงานช่างไม้ด้วยท่านจึงได้คิดแก้ปัญหาจนทำให้ขิมไทยมีคุณภาพดีขึ้นนายแพทย์สมชายฯยังได้ออกแบบรูปร่างของขิมให้มีลักษณะแตกต่างออกไปจากขิมโป๊ยเซียนของจีนมากมายหลายแบบซึ่งล้วนได้รับความนิยมจากนักตีขิมทั่วประเทศจึงตั้งโรงงานผลิตขิมเป็นของตนเองชื่อร้าน "สยามวาฑิต" ซึ่งปัจจุบันชื่อร้านสยามวาฑิตเป็นที่รู้จักกันดีทั่วไปในวงการดนตรีไทย
การพัฒนาแบบก้าวกระโดดของขิมไทยครั้งที่ 2 ก็คือการผลิตขิมชนิด 9 หย่อง ซึ่งนับได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของขิมไทยทีเดียวทั้งนี้เพราะขิมชนิด 9 หย่องมีคุณภาพเสียงไพเราะน่าฟังกว่าขิมแบบ 7 หย่องมากเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงวัสดุที่ใช้ในการผลิตและปรับปรุงรูปร่างให้แปลกออกไปจากเดิมคือ แต่เดิมนั้นไม่ว่าจะเป็นขิมจีนหรือขิมไทยก็มักจะใช้สายที่ทำด้วยลวดทองเหลืองทั้งนั้น แต่ขิม 9 หย่องเปลี่ยนจากสายทองเหลืองไปเป็นสายลวดเหล็กที่ไม่ขึ้นสนิม (Stainless Steel) จึงไม่เป็นสนิมและไม่ขาดง่ายเหมือนกับสายทองเหลืองทั้งยังให้กระแสเสียงที่อ่อนหวานไพเราะน่าฟังมากกว่าสายทองเหลือง
สาเหตุที่ต้องทำเป็นขิม 9 หย่องมีความนัยที่น่าสนใจคือ สายลวดเหล็กที่เรียกว่าเสตนเลสสตีลนั้นมีความหยุ่นตัวมากกว่าสายทองเหลือง ดังนั้นถ้าจะให้เสียงดังกังวานสดใสเต็มที่จะต้องขึงให้ตึงมากกว่าสายทองเหลือง หากเอาสายลวดเหล็กไม่ขึ้นสนิมมาเปลี่ยนแทนสายลวดทองเหลืองในขิมชนิด 7 หย่องแล้วจะเกิดปัญหาคือจะไม่สามารถเทียบสายให้
1) ตัวขิม 2) หมุดยึดสายขิมแบบเกลียว 3) สายขิมเสตนเลสสตีล 4) หย่อง
5) สันหย่องทำด้วยโลหะ 6) หมุดปรับสายขิมแบบเกลียว 7) หย่องบังคับเสียง
8) ร่องเสียงอยู่ใต้ตัวขิม 9) พื้นใต้ตัวขิม
ตึงมากๆได้ทั้งนี้เพราะวงเครื่องสายไทยใช้ระดับเสียงที่เรียกว่า "เพียงออ" เป็นหลักในการเทียบเสียง(ระดับเสียงเพียงออคือระดับเสียงของขลุ่ยไทยชนิดที่ใช้ในการบรรเลงเครื่องสาย) และระดับเสียงเพียงออนี้จะอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ เมื่อใช้สายขิมเสตนเลสสตีลขึงจะถึงระดับของเสียงเพียงออก่อนที่ตัวสายจะตึงเต็มที่ เวลาตีสายขิมเสียงจะไม่น่าฟังเพราะสาย ยังไม่ตึงเต็มที่ นายแพทย์สมชาย กาญจนสุต จึงเพิ่มระยะความยาวของตัวขิมออกไปทางด้านข้างอีกเพื่อให้สามารถเพิ่มความตึงของสายได้โดยระดับเสียงยังคงเดิม ด้วยวิธีนี้จึงทำให้ขิมที่ใช้สายเสตนเลสสตีลมีเสียงกังวานสดใสไพเราะน่าฟังเนื่องจากตัวสายขิมมีความตึงเต็มที่ และเนื่องจากการที่ต้องเพิ่มความยาวทางด้านข้างออกไปมากกว่าเดิมจึงจำเป็นต้องเพิ่มความความยาวด้านตั้งด้วยเพื่อให้รูปร่างของขิมแลดูสมส่วนไม่เรียวยาวมากเกินไป นอกจากนั้นการเพิ่มความยาวในแนวตั้งยังทำให้ได้ตำแหน่งเสียงเพิ่มขึ้นอีก 2 ตำแหน่งจึงกลายเป็นขิมที่มีหย่อง 9 หย่อง ด้วยเหตุนี้ขิม 9 หย่องจึงมีขนาดใหญ่กว่าขิม 7 หย่อง
นอกจากการเปลี่ยนวัสดุที่ใช้ในการทำสายขิมและเปลี่ยนรูปร่างให้มีขนาดใหญ่กว่าเดิมแล้วนายแพทย์สมชายยังได้ออกแบบช่องเสียงของตัวขิมใหม่คือแต่เดิมช่องเสียงขิมนิยมทำเป็นวงกลมๆ 2 วงอยู่บนผิวหน้าขิมแล้วปิดประดับด้วยงาหรือวัสดุที่ทำเป็นลายฉลุสวยงาม แต่ช่องเสียงของขิม 9 หย่องกลับทำเป็นร่องยาวๆอยู่ตรงด้านข้างใต้ตัวขิมข้างละ 1 ร่อง บนผิวหน้าของตัวขิมจึงแลดูราบเรียบไม่มีร่องกลมๆให้เห็นเหมือนขิม 7 หย่อง
ขิม 9 หย่องนี้ปัจจุบันเป็นที่นิยมในหมู่นักดนตรีที่บรรเลงขิมมาก แม้ว่าสนนราคาจะค่อนข้างแพงสักหน่อยแต่คุณประโยชน์ก็มีมากเช่นกันคือ เสียงไพเราะน่าฟัง สายขิมไม่ขาดง่าย และมีรูปร่างสวยงาม ผู้ที่ซื้อขิมชนิดนี้ควรจะเป็นผู้ที่มุ่งจะฝึกเอาดีทางการบรรเลงขิมจึงจะสมประโยชน์เพราะหากคิดเพียงแค่จะบรรเลงขิมเล่นๆแล้วซื้อขิมรุ่นอื่นที่เป็นชนิด 7 หย่องจะสมประโยชน์มากกว่า ทั้งราคายังไม่แพงมากด้วย
นายแพทย์สมชาย กาญจนสุต ยังได้ริเริ่มออกแบบขิมให้มีความสะดวกในการนำไปบรรเลงยังสถานที่ต่างๆโดยทำเปลือกนอกของตัวขิมให้มีลักษณะคล้ายกับกระเป๋าเดินทางโดยมีหูหิ้วสำหรับหิ้วขิมติดมาด้วย ขิมรุ่นนี้เรียกกันว่า "ขิมกระเป๋า" วัสดุที่ใช้ทำเปลือก นอกเป็นวัสดุเดียวกับที่ใช้ทำกระเป๋าเดินทางทั่วไปมีฝาเปิดปิดได้ทำนองเดียวกับกระเป๋าเดินทางเมื่อเปิดฝาออกมาแล้วส่วนในจะกลายเป็นพื้นหน้าของขิมชนิด 7 หย่อง ขิมกระเป๋านี้มีรูปร่างกรอบนอกเรียบๆธรรมดาไม่มีรอยหยักโค้งเหมือนขิมไม้โดยมากจะมีรูปทรงแบบสี่เหลื่ยมคางหมู
1) ตัวขิม 2) ขอบฝาขิม 3) ไม้ตีขิม 4) พื้นฝาขิม5) หมุดยึดสายขิม 6) สลักกุญแจ 7) กุญแจ 8) กระบอกเทียบเสียง9) วงช่องเสียง 10) หูหิ้ว 11) หย่องขิม 12) สายขิม 13) หย่องบังคับเสียง
ขิมกระเป๋านี้สามารถนำเดินทางติดตัวไปยังสถานที่ไกลๆเช่นในต่างประเทศได้สะดวกเป็นการเอื้ออำนวยสำหรับการเผยแพร่ดนตรีไทยไปต่างประเทศทางอ้อมด้วย เพราะขิมแบบนี้มีเปลือกนอกแข็งแรงเหมาะกับการขนส่งไปทางไกล
นอกจากขิมกระเป๋าที่กล่าวไปแล้วนายแพทย์สมชายฯยังได้ออกแบบขิมกระเป๋าอีกชนิดหนึ่งซึ่งแตกต่างไปจากขิมกระเป๋าชนิดแรกเรียกว่า "ขิมกระเป๋าแบบแยกส่วน" ขิมชนิดนี้มีกระเป๋า ซึ่งสามารถแยกออกจากตัวขิมได้โดยออกแบบทำตัวขิมสำเร็จรูปแยกต่างหากจากตัวกระเป๋าแต่สามารถสอดเก็บไว้ได้แนบสนิทภายในฝาขิมพอดี ตัวกระเป๋าแยกออกเป็น 2 ส่วนคือฝาส่วน
และฝาส่วนล่างซึ่งสามารถถอดแยกออกจากกันได้ด้วย ขิมกระเป๋ารุ่นนี้มีแผ่นไม้แบนๆ 3 ชิ้นซึ่งประกอบเข้าเป็นขาตั้งสำหรับวางตัวขิมให้สะดวกในการบรรเลงและดูสวยงามด้วย
1) ตัวขิม 2) ฝาขิมด้านล่าง 3) ฝาขิมด้านบน 4) หูหิ้ว
5) สลักกุญแจ 6) กุญแจ 7) แผ่นไม้สำหรับรองตัวขิม
ก่อนที่นายแพทย์สมชายฯจะคิดประดิษฐ์ขิม 9 หย่องซึ่งใช้สายโลหะเสตนเลสสตีลนั้น นายแพทย์สมชายฯได้สนใจขิมพิเศษตัวหนึ่งซึ่งเป็นสมบัติของผู้เขียนเอง ที่ว่าเป็นขิมพิเศษก็คือขิมตัวนี้ประดิษฐ์โดยครูท่านหนึ่ง (ไม่ทราบนาม) ซึ่งรู้จักกับคุณแม่ของผู้เขียนคืออาจารย์บรรเลง สาคริก ครูท่านนี้ได้ประกอบตัวขิมขึ้นเองโดยมุ่งจะให้ลูกเรียนแต่ลูกไม่สนใจเรียนจึงขายต่อให้กับคุณแม่ของผมในราคา 600 บาท ความพิเศษของขิมตัวนี้คือมีขนาดใหญ่กว่าขิม 7 หย่องในยุคนั้นเล็กน้อยแต่สายที่ใช้ขึงเป็นสายลวดเหล็กขนาดใหญ่ไม่ใช่สายทองเหลือง ตอนที่ซื้อขิมตัวนี้มาใหม่ๆนั้นลวดเหล็กที่ใช้ทำสายขิมขาดชำรุดไปเป็นส่วนใหญ่ไม่อยู่ในสภาพที่จะใช้บรรเลงได้ ผู้เขียนจึงนำไปให้ร้านของศาสตราจารย์ ดร.อุทิศ นาคสวัสดิ์ ซึ่งขณะนั้นท่านยังมีชีวิตอยู่ทำการเปลี่ยนสายให้ใหม่โดยให้เปลี่ยนเป็นสายทองเหลืองเหมือนกับขิม 7 หย่องทั่วไป แต่เมื่อไปรับขิมปรากฏว่าที่ร้านได้เปลี่ยนเป็นสายลวดเสตนเลสสตีลให้ทั้งตัวเมื่อลองตีดูเสียงไม่ค่อยดังและไม่ค่อยไพเราะเท่าใดผู้เขียนจึงเก็บขิมตัวนั้นไว้นานเกือบปีโดยไม่ได้นำมาใช้บรรเลงเลย อยู่มาวันหนึ่งขณะที่รื้อจัดของในห้องดนตรีก็เห็นขิมตัวนี้จึงลองนำออกมาปรับเทียบเสียงใหม่โดยปรับให้เสียงสูงในระดับเสียงของออร์แกนปรากฏว่ามีเสียงไพเราะน่าฟังมากทีเดียวจึงลองบรรเลงเล่นเรื่อยมาจนกระทั่งถึงปี พ.ศ.2524 ที่มีการก่อตั้ง มูลนิธิหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ผู้เขียนได้บรรเลงขิมตัวนี้บันทึกเสียงไว้ที่ห้องบันทึกเสียงของอาจารย์ประสิทธิ ถาวรเพื่อนำออกเผยแพร่จำหน่าย ปรากฏว่าสามารถจำหน่ายขิมชุดนี้ซึ่งบันทึกไว้ 3 ตลับได้กว่า 1 พันตลับภายในช่วงเวลาจัดงานเพียง 3 วัน ต่อมานายแพทย์สมชายฯได้ฟังเทปขิมชุดนี้จึงได้มาพบและขอดูขิมตัวที่ใช้บันทึกเสียงเพราะสนใจว่าเหตุใดจึงมีกระแสเสียงไพเราะน่าฟังกว่าขิมทั่วไปพร้อมทั้งขออนุญาตวัดขนาดของขิมตัวนี้โดยละเอียด หลังจากนั้นไม่นานนักจึงได้ประดิษฐ์ขิม 9 หย่องตัวแรกขึ้นและได้นำขิม 9 หย่องตัวนั้นมามอบให้ผู้เขียนเป็นที่ระลึกพร้อมทั้งบอกเล่ารายละเอียดในการออกแบบให้ผู้เขียนฟัง ขิม 9 หย่องตัว
นี้ผู้เขียนได้ใช้บรรเลงเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันโดยคุณภาพเสียงยังไพเราะน่าฟังเสมอและสายขิมก็ไม่เคยขาดอีกเลย หลังจากนั้นนายแพทย์สมชายฯจึงได้ผลิตขิม 9 หย่องออกวางจำหน่ายทั่วไปและได้รับความนิยมจากผู้บรรเลงขิมส่วนใหญ่
ต่อมาไม่นานนักนายแพทย์สมชายฯได้คิดประดิษฐ์ขิม 11 หย่องขึ้นมาอีกโดยมีจุดมุ่งหมายพิเศษคือขิม 11 หย่องนี้รวมเอาขิม 7 หย่อง 2 ตัวเข้าไว้ด้วยกันในตัวเดียวกล่าวคือ สายบนสุดนับลงมา 7 ตำแหน่งเทียบเสียงเป็นขิมที่มีระดับเสียงค่านข้างสูงส่วนสายที่เหลือซึ่งอยู่ถัดลงมาเทียบเป็นเสียงระดับค่อนข้างต่ำ ด้วยวิธีนี้ขิม 11 หย่อง 1 ตัวจึงสามารถบรรเลงได้มิติของเสียงมากขึ้นคือเหมือนกับมีขิม 7 หย่อง 2 ตัวที่เทียบเสียงสูงตัวหนึ่งและเสียงต่ำตัวหนึ่งซ้อนกันอยู่ภายในตัวเดียว แต่ผู้ที่บรรเลงขิม 11 หย่องนี้จะต้องมีความสามารถสูงจึงจะบรรเลงได้ดี
หลังจากนั้นไม่นานนักนายแพทย์สมชายฯได้ผลิตขิม 11 หย่องชนิดเสียงทุ้มออกมาอีกโดย คราวนี้ออกแบบโครงสร้างภายในตัวขิมใหม่หมดพร้อมทั้งเปลี่ยนขนาดของสายขิมให้ใหญ่ขึ้นเพื่อให้เสียงขิมมีความทุ้มลึกมากเป็นพิเศษเรียกว่า "ขิมอู้" หรือขิมที่เน้นการบรรเลงเฉพาะเสียงทุ้มลึกคล้ายกับเครื่องดนตรีเบส ขิมชนิดนี้เมื่อใช้บรรเลงร่วมกับขิม 9 หย่องโดยเรียบเรียงวิธีการบรรเลงให้เหมาะสมแล้วจะเพิ่มอรรถรสให้กับผู้ฟังมากทีเดียวเพราะมีทั้งเสียงสูงและเสียงต่ำครบครัน
ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นพัฒนาการของขิมที่ใช้สายโลหะทั้งสิ้น แต่ยังมีขิมอีกชนิดหนึ่งซึ่งมิได้ใช้สายทองเหลืองหรือสายลวดเหล็กไม่ขึ้นสนิมเป็นต้นกำเนิดเสียงแต่ใช้แผ่นโลหะแทน ขิมชนิดนี้เดิมเรียกว่า "ขิมทอง" ซึ่งย่อมาจากคำว่า "ขิมทองเหลือง" ทั้งนี้เพราะใช้แผ่นทองเหลืองเรียง กันแทนตำแหน่งของสายขิม เวลาบรรเลงจะมองเห็นแผ่นทองเหลืองเรียงกันในรูปแบบเดียวกับสายขิมดังนั้นผู้บรรเลงขิมจึงไม่ต้องเปลี่ยนความรู้สึกและสามารถบรรเลงไปตามที่เคยชินได้ทันที
ขิมทองหรือขิมทองเหลืองนี้ต่อมาภายหลังเรียกกันหลายชื่อตามวัสดุที่ใช้แทนสายขิมเช่นถ้าใช้แผ่นเหล็กก็เรียกว่าขิมเหล็ก ถ้าใช้แผ่นอะลูมิเนียมก็เรียกว่าขิมอะลูมิเนียม ดังนั้นเพื่อกันความสับสนจึงเปลี่ยนมาเรียกชื่อขิมชนิดนี้ว่า "ขิมแผ่น" เพราะใช้แผ่นโลหะวางเรียงกันแทนการขึงด้วย
1) ตัวขิม (กล่องขิม) 2) ฝาขิม 3) ไม้ตีขิม 4) หูหิ้ว
5) สลักกุญแจ 6) กุญแจ 7) ที่เหน็บไม้ตี 8) แผ่นโลหะ
สายโลหะ ขิมแผ่นนี้มีเสียงกังวานคล้ายกับเสียงฆ้องดังนั้นจึงอาจถือได้ว่าเป็น "ฆ้อง" ของวงเครื่องสาย ขิมแผ่นมีข้อดีคือเสียงจะไม่เพี้ยนง่ายเพราะแผ่นโลหะไม่ได้ยืดหดมากเหมือนสายลวด และเมื่อบรรเลงร่วมกับวงดนตรีอย่างถูกวิธีแล้วจะให้เสียงกังวานนุ่มนวลน่าฟังไปอีกแบบหนึ่ง
ผู้ผลิตขิมแผ่นมักนิยมทำรูปร่างขิมให้คล้ายกับกระเป๋าเดินทางมีฝาเปิดปิดได้ ด้านในของฝาขิมใช้เก็บไม้ตีขิมซึ่งด้ามทำด้วยท่อนหวายกลมหรือไม้เนื้อแข็งแบบเดียวกับไม้ตีระนาดแต่ตรงปลายให้ลูกยางกลมเสียบไว้ข้างละลูกเพื่อให้ได้เสียงที่นุ่มนวลเวลาตี ตัวแผ่นโละที่ใช้ตีให้เกิดเสียงนั้นวางเรียงกันบนแผ่นสักหลาดมีหมุดยึดไว้หลวมๆทั้ง 2 ด้านของแต่ละแผ่นเพื่อกันหลุดหายขณะที่ยกไปมา วิธีบรรเลงขิมแผ่นแตกต่างไปจากการบรรเลงขิมสายคือ การบรรเลงขิมแผ่นจะบรรเลงทำนองห่างๆคล้ายกับการบรรเลงฆ้องวงใหญ่และไม่ค่อยกรอมากเหมือนกับการบรรเลงขิมสาย
ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นประวัติความเป็นมาโดยย่อของขิมและประวัติการพัฒนาขิมโดยคนไทย อันแสดงถึงจินตนาการและภูมิปัญญาของช่างดนตรีไทยที่คิดค้นดัดแปลงเครื่องดนตรีของชาติอื่นให้เหมาะสมกับรสนิยมของคนไทย ทั้งยังต่อเติมให้มีความสะดวกในการใช้มากขึ้นด้วย
แม้ว่าขิมหรือพิณผีเสื้อตัวนี้จะมีต้นกำเนิดอยู่ห่างไกลถึงมหาอาณาจักรเปอร์เซียนโบราณแต่ก็ได้โบยบินผ่านกาลเวลาและเส้นทางสายไหมอันยาวไกลเรื่อยมาจนถึงลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา จนผีเสื้อตัวนี้ได้กลายมาเป็นผีเสื้อไทยโดยสมบูรณ์ได้ทำหน้าที่ขับลำนำเพลงไทยอันอ่อนหวานไพเราะน่าฟังให้ปรากฏประจักษ์แก่ชาวโลกมาจนถึงปัจจุบันนับเป็นเครื่องดนตรีที่น่าสนใจและน่าอัศจรรย์มากชิ้นหนึ่งทีเดียว



ที่มา www.thaikids.com/kimhis/kimhis.htm